ว่าด้วย...ความหวังและความอดทน!!!

ปีใหม่-ฟ้าใหม่...ที่ได้เข้ามาเยือนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น คงต้องยอมรับว่า ออกจะเป็นอะไรที่ทึบๆทึมๆ หม่นๆหมองๆ อยู่ตามสมควร ไม่ได้ก่อให้เกิดแรงอัดฉีด แรงกระตุ้น ไปในทางสดใส ซาบซ่า หรือสดชื่นเหมือนยืนอยู่บนเนินเขามากมายซักเท่าไหร่นัก แค่เฉพาะดูจากสีสัน บรรยากาศ การเฉลิมฉลองปีใหม่ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ ก็คงพอสรุปได้ไม่ยากว่า หนักไปทาง “แบบบ์บ์บ์แห้งง์ง์ง์”อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...

--------------------------------------------------------

คือไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึงสุขพ่ง สุขภาพ เอาเลยนั่นแหละทั่น ที่สามารถก่อให้เกิดอาการขนลุก ขนพอง ไปได้โดยตลอด แม้จะมี “ข่าวล่า-มาเรือ”ว่าท่านเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่าง “Omicron” จะเป็นอะไรที่ไม่ถึงกับหนักหนา สาหัส มากมายซักเท่าไหร่ แต่การแสดงออกถึงขีดความสามารถในการ “ติดเชื้อ”

ที่ปาเข้าไปวันละ 1.4 ล้านคนเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังไงๆ...คงปฏิเสธไม่ได้นั่นแหละว่า ออกจะ “เอาเรื่อง”ชนิดไม่น่าจะบันเบาอยู่เหมือนกัน ยิ่งเริ่มๆเกิดข่าวคราว เกิดคำร่ำลือ ในประเทศที่ค่อนข้าง “หูแหก-ตาแหก”กับเชื้อไวรัสตัวนี้อยู่พอสมควร อย่างประเทศอิสราเอล ถึงการผสมรวม หรือการผสมกันอีท่าไหนก็มิอาจสรุปได้ ระหว่างเชื้อโควิดกับเชื้อไข้หวัดธรรมดาเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อ เกิดอาการหนักหนา สาหัส ถึงขั้นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง เอาง่ายๆ...

------------------------------------------------------

และในเมื่อท่านเชื้อไวรัสโควิด ท่านยังไม่คิดจะหายไปจากโลกใบนี้ โดยเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือเศรษฐกิจ ก็คงหนีไม่พ้นต้องผะงาบๆ ต้องผงะหงายกันไปอีกแทบตลอดทั้งปี อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ภาวะการท่องเที่ยว-เดินทาง ที่ยังคงติดๆขัดๆ ยังคงต้องเว้นระยะห่าง หรือยังคงต้องสวมหน้ากากเป็นมนุษย์ต่างดาวกันต่อไปเรื่อยๆ ตามมาด้วยภาวะเงินเฟ้อ ข้าว-ของราคาแพงไปแทบจะทั่วโลก รวมไปถึงการหันมาสู้กันเอง ระหว่าง “ศัตรู-คู่แข่ง” หรือระหว่างมวลมนุษย์ด้วยกันเอง ทั้งๆที่ต่างก็มีศัตรูตัวเดียวกันหรือศัตรูที่มองไม่เห็นอย่างท่านเชื้อไวรัสโควิด ไปด้วยกันทั้งนั้นอันนี้...ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศทางการเมือง ระหว่างชาติระหว่างประเทศ ยิ่งเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียว น่าตื่นตะลึง ตึงเครียด ยิ่งขึ้นไปใหญ่...ฯลฯ...

--------------------------------------------------

ส่วนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลายนั้น...ด้วยเหตุเพราะไม่ได้มีที่ตั้งอยู่บนอวกาศ หรือในสุญญากาศ ยังคงต้อง “ปฏิสัมพันธุ์”ไปกับโลกทั้งโลกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โอกาสที่จะต้องเจอกับผลพวง หรือผลกระทบ ต่างๆนานาจึงเป็นสิ่งที่คงต้อง “ทำใจ”และ “ทัมใจ”เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ก็หนีไม่พ้นต้อง “บวดหัว”ระดับยา “บวดหาย”หรือยาประสะนอแรดใดๆก็ตาม น่าจะ “เอาไม่อยู่”ไปด้วยกันทั้งสิ้น ภายใต้บรรยากาศทำนองนี้ เลยมีแต่ต้องพยายามสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง หรือจะภูมิคุ้มกันหมู่ก็เถอะ ด้วยการปลุกกระตุ้น“ความหวัง”และ “ความอดทน”ให้มากขึ้นๆกันไปตามลำดับ...

----------------------------------------------------

คือน่าจะมีแค่ 2 สิ่งที่ว่านี้เท่านั้นเอง...ที่พอจะมีอานุภาพ สมรรถภาพ และประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับบรรดาวัคซีนเทพและไม่เทพทั้งหลาย เพราะอย่างที่อดีตนักเทววิทยาชาวเยอรมัน นาย“Johann August Wilhelm Neander”ท่านเคยเอ่ยเป็นวาทะไว้ตั้งแต่เมื่อ 200-300 ปีที่แล้วนั่นแหละว่า...“In adversity a man is saved by hope.” อะไรประมาณนั้น หรือ“ในยามวิบัติ...คนเราจะอยู่ได้ด้วยความหวัง” การหาทางปลุกจินตนาการ ปลุกจิตวิญญาณ ใครต่อใครไปในลักษณะทำนองนี้ ยังไงๆ...ย่อมดีกว่าการหันไปสร้างความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาทริษยาและชิงชัง หรือหันไปยุแยงตะแคงรั่วให้อะไรที่แย่ๆอยู่แล้ว มีแต่ต้องแย่ๆลงไปอีก...

---------------------------------------------------

เช่นเดียวกับความอดทนนั่นแหละทั่น...ยิ่งสามารถทนมือ ทนตีน ทนต่อผลพวงและผลกระทบต่างๆ ไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ ได้มากขึ้นๆยิ่งเข้าไปเท่าไหร่ โอกาสที่จะพอ “อยู่ๆกันไปได้”ยิ่งน่าจะมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เหมือนอย่างที่สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกองค์ปัจจุบัน ท่านได้เคยทรงประทานพร ประทานคติธรรม เอาไว้เมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละว่า ด้วยความอดทน อดกลั้น หรือด้วย “ขันติธรรม”นั่นเอง ที่จะเป็นตัวนำมาซึ่ง “สามัคคีธรรม” นำมาซึ่งความแข็งแกร่ง ไม่ว่าตัวตนของตน หรือของบ้าน-ของเมือง...

---------------------------------------------------------

เพียงแต่การปลุกเร้า “ความหวัง” หรือการสร้าง “ความอดทน” ในลักษณะที่ว่านั้น...คงต้องยอมรับว่า คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆกันซักเท่าไหร่นัก เพราะเพียงแค่เอ่ยชื่อ “บิ๊กตู่”ออกมาเพียงรายเดียวเท่านั้น ก็สามารถก่อให้เกิดการตีกัน กัดกัน เกิดการเชียร์การด่า การออกอาวุธโต้กันในแต่ละดอก สองดอกสามดอก หรือทุกๆดอกเอาเลยก็ยังมี ส่งผลให้สิ่งที่เรียกว่า“สามัคคีธรรม”เลยแทบหาไม่เจอมาตลอดร่วมทศวรรษๆเข้าไปแล้ว ยิ่งถ้าหาก “บิ๊กตู่”คิดจะ “อยู่ยาวว์ว์ว์”ยิ่งขึ้นไปอีก จะเพื่อการปูเสื่อ เปิดหน้าเสื่อต้อนรับบรรดาผู้นำโลก หรือจะเพื่ออะไรก็แล้วแต่ โอกาสที่จะเกิดการตีกัน กัดกัน ชนิดขันติกลายเป็นขันแตก ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ยิ่งเข้าไปเท่านั้น...

---------------------------------------------------------

ไม่ต่างไปจากความหวังนั่นแหละ...ถ้าจะไม่ให้เป็นไปในแบบลมๆ-แล้งๆ ไม่ใช่แค่หวังกลางฤดูร้อน หรือฝันกลางฤดูใดต่อฤดูใดก็แล้วแต่ เป็นความหวังที่มีชีวิต-ชีวา มีความสอดคล้อง ต้องกัน กับฉากสถานการณ์ในแต่ละห้วง แต่ละระยะ ไม่ถึงกับต้องถอยหลังกลับ หรือไม่เอาแต่เตลิดเปิดเปิง เดินหน้า เดินสะเปะสะปะ จนต้องลงเหว ลงนรก ไปก่อนกำหนดการ ไม่เพียงแต่ต้องอาศัย “ศิลปะ”อาศัยขีดความสามารถส่วนตัวของปัจเจกบุคคล หรือของสังคมเท่านั้น แต่ยังต้องยึดโยงอยู่กับรากฐานแห่ง“ธรรมะ” กับวัฒนธรรม คุณธรรมและศีลธรรม อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้โดยเด็ดขาด!!!

--------------------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก “Anon” (อีกครั้ง)... “ Sorrow looks back, worry looks round, faith looks up.- ความทุกข์มองไปข้างหลัง ความวิตกกังวลมองไปรอบๆ ความหวัง...มองสู่เบื้องบน...”

------------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น