จาก กทม.ถึงความเป็นชาติ เป็นสังคมไทย

ขณะกำลังปั่นต้นฉบับชิ้นนี้...ก็ยังไม่มีโอกาสรับรู้ได้เลยว่า ตกลงใครเป็นหมู่ เป็นจ่า เป็นสารวัตรกันแน่!!!  สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ต่างฝ่ายต่างไล่เบียด ไล่บี้  ไล่ชิงกันมาโดยตลอด เห็นประธาน กกต.ท่านสรุปว่าน่าจะประมาณ 3 ทุ่ม (วันอาทิตย์ 22 พ.ค.) โน่นแหละ ถึงพอจะเห็นหน้า เห็นตา เห็นว่าใครเป็นใคร ไผเป็นไผ ระหว่างบรรดาผู้อาสาสมัครในแต่ละราย แต่จะให้ชักสะพานแหงนเถ่อรอไปถึงขั้นนั้น แล้วค่อยลงมือปั่นต้นฉบับ มันอาจเป็นอะไรที่ออกจะอุตลุดชุลมุนชุลเกอยู่พอสมควรเหมือนกัน...

-----------------------------------------------

เพราะช่วงตั้งแต่ประมาณ 5 โมง...โดยสมาธิและหัวจิต หัวใจ มันคงต้องหันไปทุ่มเทกับทีมวอลเลย์บอลหญิง ที่ต้องลงแข่งชิงเหรียญทองซีเกมส์ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ 

ต่อจากนั้นย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องไปนั่งลุ้น นอนลุ้น ตีลังกาลุ้น ทีมฟุตบอลไทย ที่จะต้องเข่นเขี้ยว เคี้ยวฟัน แลกมือ แลกตีน กับนักเตะ เหงียน หรือนักเตะเวียดนามทั้งหลาย ชนิดอาจมีสิทธิ์ หัวใจวาย ตายคาจอทีวีขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ โอกาสที่จะมีชีวิตรอดเพื่อกลับมาปั่นต้นฉบับให้กับ ไทยโพสต์ ของหมู่เฮาไปตามปกติ อาจมีอยู่ประมาณ 50:50 เอาเลยก็ไม่แน่ ด้วยเหตุนี้...ถึงยังไม่มีโอกาสรู้ว่าใครเป็นใคร ไผเป็นไผ สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.คราวนี้ แต่คงต้องขออนุญาตสรุป ภาพรวม เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ไปตามเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ นั่นแหละทั่น...

-----------------------------------------------

คือถ้าว่ากันโดยรวมๆ แล้ว...ชนิดไม่ว่าใครจะผงาดขึ้นมาเป็นผู้ว่าฯ ของบรรดาชาว กทม.ก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะสะท้อนให้เห็น และออกจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่ไม่น้อย ก็คือลักษณะอาการในแบบ ตัวใคร-ตัวมัน หรือ ทางใคร-ก็ทางมัน ของบรรดาผู้อาสาสมัครในแต่ละพรรค แต่ละราย หรือแต่ละฝ่าย แต่ละแนวคิด เอาเลยก็ว่าได้ ที่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการหลอมรวม ความเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกันของแต่ละฝ่าย แต่ออกไปทางแตกฉาน ซ่านเซ็น ย่อยแยก แตกกระจาย ไปตามความคิด ความรู้สึก ของแต่ละปัจเจกบุคคล นั่นแหละเป็นหลัก...

----------------------------------------------

ซึ่งโดยลักษณะอาการเช่นนี้...ถ้าหากพูดแบบพวกที่พยายามมองโลกให้สวยๆ เข้าไว้ ก็อาจถือเป็นลักษณะอาการแบบ ดอกไม้บานร้อยดอก อะไรทำนองนั้น คือต่างมีสิทธิ์ประชัน ขันแข่ง อวดโชว์ความสวย ความงาม ขีดความสามารถของแต่ละคน แต่ละราย ได้อย่างเป็นอิสระและเสรี แต่ถ้าหากมองแบบพวกที่หนักไปทางโลกซวย  หรือพวกที่ออกจะ ซาดิสม์ ขึ้นมาซักหน่อย ความย่อยแยก แตกกระจาย แตกฉาน ซ่านเซ็น ในลักษณะที่ว่านี้ ก็คือการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็น เอกภาพ ของแทบทุกฝ่ายนั่นแหละ ที่อาจปราศจากหลักคิด หลักยึดที่มั่นคง แน่วแน่ เลยต้องหันไป ทางใคร-ทางมัน หรือ ตัวใคร-ตัวมัน กันไปตามสภาพ...

--------------------------------------------------

ดังนั้น...ก็แน่นอนนั่นแหละว่า ภายใต้ลักษณะอาการแบบ ตัวใคร-ตัวมัน หรือ ทางใคร-ก็ทางมัน เช่นนี้ ถ้าลองต้องเจอกับแรงกด แรงดัน แรงกระแทก แบบชนิดหนักหนา-สาหัส หนักหน่วง-รุนแรง ขึ้นมาเมื่อไหร่ โอกาสที่จะต้องเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เปื่อยยุ่ย ย่อยสลาย จนอาจแทบไม่เหลือรูปร่าง รูปทรง ที่แน่นอนเอาเลยก็ย่อมได้ อะไรก็ตามที่เคยเป็น เอกลักษณ์ หรือ อัตลักษณ์ อาจต้องสูญสลาย ไปจากที่เคยมี เคยเป็น อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ หรือโอกาสที่จะเกิดลักษณะอาการแบบ กรุงแตก ขึ้นมาในสังคมนั้นๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...

--------------------------------------------------

แต่ก็นั่นแหละ...ถ้ามองในแง่ โลกแห่งความเป็นจริง  เฉพาะแค่การ เลือกตั้ง กทม. มันคงไม่ถึงกับ สะท้อน อะไรต่อมิอะไรได้ครอบคลุม กว้างขวาง ไปถึงขั้นนั้น  เพราะยังไงๆ...กรุงเทพฯ ก็ย่อมไม่ใช่ ประเทศไทย อยู่แล้วแน่ๆ แม้จะเคยเป็นแหล่ง ศูนย์รวมอำนาจ มาตั้งแต่เก่าก่อน อีกทั้งภายใต้การเร่งรัด พัฒนา ที่มุ่งไปสู่ความเจริญและทันสมัย แต่ไม่คิดจะก้าวหน้าหรือไม่ได้คิดจะยกระดับในทางด้านจิตใจ จิตวิญญาณ เอาเลยแม้แต่น้อย  ความเป็น กรุงเทพฯ แท้ๆ มันเลยจางหาย สูญสลายหายไปมานานแล้ว ลักษณะอาการแบบ ร้อยพ่อ-พันแม่ มันจึงปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...

-----------------------------------------------

การย่อยแยก แตกกระจาย ในด้านอารมณ์-ความรู้สึกและความนึกคิดของผู้คนชาวกรุงเทพมหานคร มันจึงถือเป็นเรื่องปกติ-ธรรมดา มานานแล้ว ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของผู้หนึ่ง-ผู้ใดในสนามเลือกตั้งแห่งนี้ มันจึงไม่อาจนำไปใช้เป็นภาพสะท้อนของ ความเป็นสังคมไทย ได้ทั้งหมด แต่ก็นั่นแหละ...อย่างน้อยอาจนำมาใช้เป็น บทเรียน เป็นข้อคิด สะกิดใจเพื่อที่จะนำไปสู่ประโยชน์ของส่วนรวม ของสังคมไทยได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย โดยเฉพาะความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า เอกภาพ หรือความเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกัน หรือจะเรียกว่า ความรู้-รัก-สามัคคี ก็ย่อมได้ ที่นับวันจะยิ่งทวีความสำคัญสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้โลกที่กำลังเต็มไปด้วยความปั่นป่วน วุ่นวาย การแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย แยกข้าง แยกฝ่าย จนแทบหา พื้นที่เป็นกลาง แทบไม่เจอ...

-------------------------------------------------

ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...การหาทางดำรง รักษา สิ่งที่เคยเป็น เอกลักษณ์ หรือ อัตลักษณ์ แห่งความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้ให้จงได้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเอามากๆ ชนิดที่อาจถือเป็นทางออก ทางไป หรือเป็น ความอยู่รอด ของสังคมนั้นๆ เอาเลยก็ว่าได้ โดยอะไรก็ตามที่พอช่วยให้เกิดความเป็น เอกภาพ ความเป็นอันหนึ่ง-อันเดียวกันขึ้นมาได้บ้าง แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็มีแต่ต้องช่วยกันประคับประคอง พิทักษ์ ปกป้อง เพื่อให้ความสงบ ร่มเย็น เท่าที่เคยมีมา ยังพอสามารถสืบต่อหรือพอที่จะดำเนินต่อไปได้  ไม่งั้น...ก็มีโอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะย่อยแยก แตกกระจาย ออกไปเป็นชิ้นๆ ไม่ต่างไปจากหลายต่อหลายประเทศ  หลายต่อหลายสังคม ที่ปรากฏให้เห็นเป็น บทเรียน มาแล้วโดยชัดเจน...

------------------------------------------------

ปิดท้ายวันนี้...จาก Rudyard Kipling (อีกครั้ง)... Nations have passed away  and left no traces, And history gives  the naked cause of it---One single  simple reason in all cases; They fell  because their peoples were not fit. –  หลายชาติสูญสิ้นไปอย่างไร้ร่องรอย และประวัติศาสตร์ได้แสดงถึงเหตุอันแจ้งชัด ด้วยเหตุผลง่ายๆ เพียงประการเดียว สำหรับทุกๆ กรณี นั่นคือ...ชาติเหล่านั้นสูญสลายเพราะประชาชนไม่เข้มแข็ง...”

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น