
เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับมิสเตอร์โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเพิ่งผ่านพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงค่ำคืนวันจันทร์ ตามเวลาประเทศไทย และเจ้าตัวก็ฟิตจัด มีการเซ็นรื้อ-ออกคำสั่งจำนวนมากแทบจะทันที
โดยที่ภาคธุรกิจทั่วโลกจับตามองมากที่สุดคือ นโยบายดึงการลงทุนกลับสหรัฐ หรือ Reshoring เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ โดยจะมีการใช้กลไกภาษีในการจูงใจนักลงทุน ด้วยการลดอัตราภาษีนิติบุคคลจากเดิม 21% เหลือ 15%
โดยในมุมมองของนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ว่า นโยบายดึงเงินลงทุนกลับสหรัฐนั้นจะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการลงทุน FDI จากสหรัฐที่จะเข้ามาในไทยและภูมิภาคอาเซียน ด้วยการให้เสนอเงื่อนไขที่ดีกว่าให้กับนักลงทุนหากตัดสินใจกลับมาลงทุนในประเทศ และภาคอุตสาหกรรมที่สหรัฐสนใจคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive) เพื่อเป็นการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับเข้าไปในสหรัฐมากที่สุด ซึ่งจะส่งผลกระทบกับหลายอุตสาหกรรมของไทย จากเดิมที่ต้องพึ่งพาการส่งออก จะต้องมีการปรับยุทธศาสตร์เป็นการออกไปลงทุนในสหรัฐแทน
และอีกนโยบายที่น่ากังวลคือ การขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) 10-20% โดยทรัมป์วางแผนตั้งกำแพงสินค้าจากจีน 60-100% ส่วนกลุ่มประเทศที่ย้ายฐานการผลิตมาตั้งอยู่ใกล้กับสหรัฐ หรือ Near Shoring เช่น แคนาดา เม็กซิโก จะถูกจับตามองและถูกตั้งกำแพงภาษีสูงขึ้น โดยจะมีการตรวจสอบที่เข้มข้นมากขึ้น
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเป้าของการขึ้นภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวล เนื่องจากไทยพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐกว่า 17% ของการส่งออกทั้งหมด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ไทยโดนตั้งข้อสงสัยเรื่องการบิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulation) และทำให้ค่าเงินบาทถูกบังคับให้แข็งค่า เพื่อเป็นข้อต่อรองในการเจรจาแบบทวิภาคี
อีกประเด็นที่น่ากังวล กรณีจีนถูกกีดกันทางการค้ามาก ทำให้สินค้าที่ผลิตในจีนทั้งมีมาตรฐานและไม่มีมาตรฐานทะลักเข้ามาในภูมิภาคอาเซียน และกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีน มูลค่าการส่งออกกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์
ซึ่งไทยถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาดในอาเซียน และส่งผลกระทบต่อ 25 กลุ่มอุตสาหกรรมในไทย และจะเพิ่มขึ้นเป็น 30 กลุ่มอุตสาหกรรมในปีนี้ เนื่องจากสินค้าไทยแข่งขันด้านราคากับสินค้าจีนที่มีต้นทุนต่ำกว่าไม่ได้
นี่คือสิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทาง ส.อ.ท.มีการเสนอแนวทางรับมือไว้ โดยเฉพาะการหนุนการสร้างแต้มต่อในอุตสาหกรรมไทย โดยเสนอให้รัฐเพิ่มแต้มต่อการจัดซื้อจัดจ้าง สินค้า Made in Thailand จาก 5% เป็น 15% เป็นการชั่วคราว รวมถึงต้องเร่งหาตลาดส่งออกใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐ และหาตลาดใหม่นอกจากอาเซียนด้วย โดยการเร่งเจรจา FTA กับหลายประเทศ
ทั้งนี้ ต้องรอดูว่าในส่วนภาครัฐจะมีการตระหนักและเตรียมตัวรับมือกับการเข้ามาของทรัมป์ได้มากน้อยแค่ไหน แต่ยังมีข่าวดีที่ตอนนี้ไทยมีโอกาสขยายตลาดใหม่ได้ โดยเฉพาะในยุโรป เพราะในวันที่ 23 มกราคม 2567 จะมีการลงนามเซ็น FTA ระหว่างไทยกับเอฟตา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ และนี่ถือเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป มีความทันสมัย มาตรฐานสูง โดยเมื่อมองย้อนไปปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) ไทยกับเอฟตามีมูลค่าการค้ารวม 11,467.03 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเอกชนสามารถเข้าไปเจาะตลาดและนำสินค้าเข้าไปส่งออกเพิ่มเติมได้ ก็จะเป็นการลดการส่งออกไปตลาดสหรัฐได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี คงต้องจับตาทุกความเคลื่อนไหวของทรัมป์ให้ดี เพราะชอบทำอะไรเหนือความคาดหมายเสมอ.
ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เกษตรคาร์บอนต่ำ
กระแสรักษ์โลก เกณฑ์การค้าด้านสิ่งแวดล้อมโลกที่เข้มข้น และเทรนด์ผู้บริโภคสีเขียวเร่งให้ไทยต้องปรับตัวสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ โดยเฉพาะการผลิตข้าวที่ปล่อยก๊าซมีเทนสูง ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ภาคเกษตรไทยจะถูกบีบมากขึ้นจากเทรนด์โลกที่ส่งสัญญาณเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เปิดพฤติกรรมคนไทยในยุค“เออ-ออ”
หนึ่งในพฤติกรรมของคนไทยช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคหลายคนนิยมซื้อสินค้าตามกระแส โดยวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU ก็ได้มีผลวิจัย "ER-OR MARKETING: การตลาดแบบเออ-ออ พฤติกรรมตามกระแสของคนไทยในปัจจุบัน"
จับตา'ศก.ไทยปี68'รุ่งหรือร่วง!?
ปี 2568 กระทรวงการคลังได้ประเมินว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้เกินกว่า 3% โดยอาจจะขยับขึ้นไปได้ถึง 3.5% หากสามารถดำเนินการได้ตาม 5 เงื่อนไขสำคัญ นั่นคือ 1.เร่งรัดเบิกจ่ายทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย
PCB อุตสาหกรรมเปลี่ยนโลก
หนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในประเทศไทยช่วงปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ คงหนีไม่พ้นอุตสาหกรรมที่เข้ามาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาให้เป็นไปตามเทรนด์ของโลก
รถไฟฟ้า-รถเมล์ฟรีลดฝุ่น
ตามที่ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร มีความห่วงใยประชาชน จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ของประเทศไทย ที่ปัจจุบันนี้มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเข้าดูแลบริหารจัดการด้านโครงข่ายคมนาคม เพื่อลดปัญหา PM 2.5 ซึ่งกระทรวงคมนาคม
พฤติกรรมการจับจ่ายเทศกาลตรุษจีน
“ตรุษจีน” เป็นหนึ่งในเทศกาลที่คนไทยให้ความสำคัญ และเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มีการจับจ่ายใช้สอยมากในรอบปี เนื่องจากประเทศไทยมีประชากรเชื้อสายจีนจำนวนมาก ทำให้วัฒนธรรมจีนถูกหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยมาอย่างยาวนาน