เคาะระฆังตั้ง 'นายพัน'

ตำแหน่ง รองผบช.-ผบก. เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ แล้ว หากข้าราชการตำรวจรายใดเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร.ได้ภายใน 30 วัน เพราะที่ผ่านมา ก.พ.ค.ตร.เคยวินิจฉัยสั่งเยียวยาผู้ร้องทุกข์จากการแต่งตั้งเมื่อปี 2566 รวม 4 รายมาแล้ว โดยเป็นกรณีเลื่อนตำแหน่งข้ามอาวุโส 3 ราย และย้ายสับเปลี่ยนอย่างไม่เหมาะสม 1 ราย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามหลักคุณธรรม ๐

มาแล้ว...เสียงระฆังสัญญาณการแต่งตั้ง "นายพัน" ตำแหน่ง รอง ผบก.-สว. วาระประจำปี 2567 "ผบ.ต่าย" สะบัดปากกาลงนามบันทึกข้อความส่งถึง ผบช.จตร. (หน.จต.) หรือตำแหน่งเทียบเท่า ผบก. ในสังกัด สง.ผบ.ตร.  หรือตำแหน่งเทียบเท่า กำชับและเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่ง ผบก.ลงมา วาระประจำปี 2567 โดย "ผบ.ต่าย" กำชับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นให้พิจารณาจากอาวุโส ผลงาน  ศักยภาพ ความประพฤติ ความรู้ความสามารถ ความชำนาญ ความถนัด ทักษะ ความสมัครใจ ความจำเป็นของทางราชการ และมุ่งหมายให้ผู้นั้นได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ด้านต่างๆ อย่างหลากหลาย ความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองนำมาประกอบการพิจารณามิได้ สำหรับการพิจารณาความรู้ ความสามารถ ให้คำนึงถึงประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงาน ความประพฤติ และผลการประเมิน ความพึงพอใจที่ประชาชนหรือผู้รับบริการได้รับจากการให้บริการของข้าราชการตำรวจประกอบด้วย ส่วนการแต่งตั้งสับเปลี่ยนหมุนเวียน ให้พิจารณาจากกลุ่มสายงานที่ผู้นั้นมีความรู้ ความสามารถ  ทักษะ ความสมัครใจ ความชำนาญ ความถนัด ความจำเป็นของราชการ และมุ่งหมายให้ผู้นั้นได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ด้านต่างๆ อย่างหลากหลาย ๐

ที่น่าสนใจ ในหนังสือคำสั่งเตรียมความพร้อมอยู่ในช่วงท้าย ที่ "ผบ.ต่าย" ระบุการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ ตร. สามารถใช้อำนาจทางปกครองดำเนินการกรณี ผบช.ใช้อำนาจสั่งแต่งตั้งโดยไม่เป็นธรรม หรือมีกรณีไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ หรือวิธีการที่ ก.ตร.กำหนด หรือไม่ยึดถือความถูกต้องเป็นธรรมได้ โดยการสั่งให้ตำรวจไปช่วยราชการที่ ศปก.ตร. และจะมีการพิจารณาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว รวมถึงการพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง หากมีตำรวจร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร. อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจแต่งตั้งของ ผบช.ที่ไม่เป็นธรรม และ ก.พ.ค.ตร.วินิจฉัยว่า ผบช.ผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดใน พ.ร.บ.นี้ ผบ.ตร.ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาลงโทษผู้นั้นโดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนอีก แล้วรายงานให้ ก.ตร.ทราบ และหาก ก.ตร.มีมติว่าการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการจงใจเพื่อช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด  จะถือว่า ผบช.ผู้นั้นกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง นั่นหมายถึงเป็นคำเตือนไปถึง "ผบช." หากยึกยัก หากดื้อรั้น อาจโดนริบ "อำนาจ" หมดสิทธิ์ทำบัญชีแต่งตั้งทันที ๐

หนังสือพิมพ์ The Global New Light of Myanmar สื่อทางการเมียนมา พาดหัวไม้ “Myanmar Thai TaTmadaw leaders maintain strong relation” พร้อมภาพคณะนายทหารบกของไทยนำโดย พล.อ.ดิเรก บงการ หัวหน้าศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก พบปะและร่วมหารือกับ พล.อ.อาวุโส โซวิน รองประธานสภาบริหารแห่งรัฐ รอง ผบ.ทหารสูงสุด  และ ผบ.ทบ.เมียนมา เมื่อ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา หัวข้อหารือนอกจากการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพบกสองชาติแล้ว ยังหยิบยกแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องการข้ามแดนผิดกฎหมาย แก๊งหลอกลวงทางออนไลน์ และข้อตกลงป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย สำหรับ พล.อ.ดิเรก เคยเป็นผู้ช่วยทูตทหารประจำกรุงพนมเปญ เติบโตในกรมข่าวทหารบก ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมข่าวทหารบก รองเสนาธิการทหารบก เป็นเพื่อนเตรียมทหาร 26 ของ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน จึงถูกมองว่าเป็นสายตรง ที่ได้รับมอบหมายงานเป็นภารกิจด่วนในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามตามแนวชายแดนฝั่งตะวันตก

ขณะที่เนื้อในของสื่อดังกล่าวได้สอดแทรกบทความเชือดนิ่มๆ โบ้ยมาที่ไทยว่ามีส่วนทำให้การเติบโตของมาเฟียจีนในเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้เฟื่องฟู กลายเป็นปัญหาที่กระทบต่อประชากรไปทั่วโลก เพราะเส้นเลือด ท่อน้ำเลี้ยง ทางด้านโครงสร้างพื้นฐานของระบบอุปโภคบริโภค น้ำประปา ไฟฟ้า พลังงาน ระบบสื่อสาร ล้วนมาจากฝั่งไทยทั้งสิ้น เรียกได้ว่า "ตะมะดอ" เมียนมา เด้งเชือกหลบฉากอ้างตนไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เป็นรัฐศูนย์กลางเก็บภาษีกันเป็นล่ำเป็นสัน โดยมีกองกำลังชนกลุ่มน้อยเป็นด่านหน้า บริหารจัดการผลประโยชน์จากการเก็บค่าเช่าเป็นเลข 10หลักต่อเดือน ทำหน้าที่ฟันเฟืองในการจ่ายส่วย ส่งเบี้ยบ้ายรายทางจากฝั่งเมียวดี ท่าขี้เหล็ก กระฉอกมาถึงฝั่งไทย ครั้นจะตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดเส้นเลือดใหญ่เพื่อกดดันอาณาจักรสีเทา ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะแก้ไขปัญหาได้ ตอนนี้คงต้องรอวัดกึ๋นรัฐบาลไทยว่าจะใช้มาตรการอะไรเข้ามาแก้ไขปัญหา ตามคำโม้ของใครบางคน ช่วงนี้คงต้องดูปฏิกิริยาของ “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหมเป็นพิเศษ ว่าจะเต้นไปตามจังหวะการขายฝันของพ่อ (เลี้ยง) ต่อไปอย่างไร เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะพื้นที่และตัวละครรอบบ้านมีความซับซ้อน และเชื่อมโยงกันอย่างพิลึกเกินกว่าจะขีดเส้นใต้ในการแก้ไขปัญหาได้ ๐

นอกจากนั้น "บิ๊กปู" พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์  ผบ.ทบ. ยังเปิดกองทัพบกหารือกับ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 และคณะผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในพื้นที่ชายแดน เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในระดับนโยบายและการปฏิบัติ ระหว่างทหารกับตำรวจที่ร่วมการทำงานกันอยู่แล้ว อาทิ  การตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด การลาดตระเวน และการควบคุมช่องทางธรรมชาติตามแนวชายแดน เพื่อสกัดกั้นการลักลอบข้ามแดน รวมถึงการจับกุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่อาจถูกนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรม มีการเพิ่มเติมในรายละเอียดของหน่วยงานในพื้นที่ชายแดน รวมถึงการใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศตามแนวชายแดน เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ซึ่งจะนำข้อมูลในครั้งนี้ ไปกำหนดแนวทางดำเนินการเพื่อเสนอต่อกระทรวงกลาโหมต่อไป.