ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ (neocolonialism) ชาติมหาอำนาจจะต่อต้านโลกหลายขั้ว ต่อต้านการแข่งขันเสรี และจะบีบให้ประเทศอื่นๆ ยอมรับข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์แก่ตน
บทความนี้ยึดแนวคิดว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าหลายสิบประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลการค้าหรือปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐเท่านั้น มีวาระซ่อนเร้นที่สำคัญกว่านั้น
นักวิเคราะห์หลายคนพูดว่า รัฐบาลทรัมป์ใช้กำแพงภาษีเพื่อนำประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาต่อรองในเรื่องอื่นๆ ที่อาจไม่ใช่เรื่องการค้าเศรษฐกิจ เช่น ให้ซื้ออาวุธสหรัฐมากขึ้น ให้ถอย
ห่างจากจีนกับรัสเซีย ฯลฯ เป็นแนวทางเดียวกับไบเดน ที่รวมการค้าระหว่างประเทศเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศของสหรัฐจึงไม่ยึดถือกลไกตลาดเสรี แต่สัมพันธ์โดยตรงกับการเมืองระหว่างประเทศ
ภาพ: แคนาดาต้องเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐ
เครดิตภาพ: https://x.com/sidhant/status/1876824166462062594/photo/1
วิธีสมัยไบเดน:
วิธีการของทรัมป์ 2.0 ที่ใช้วิธีเจรจาทวิภาคี ชวนให้คิดถึงวิธีของสมัยรัฐบาลไบเดนที่ใช้แนวทางนี้เช่นกัน
พฤษภาคม 2023 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศจัดตั้งกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework หรือ IPEF) ในเบื้องต้นประเทศที่เข้าร่วมได้แก่ สหรัฐ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ อินเดีย และ 7 ชาติอาเซียนคือ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม รวมทั้งหมด 13 ประเทศ
หลักสำคัญคือ รัฐบาลสหรัฐกำลังวางกรอบระเบียบเศรษฐกิจภูมิภาคใหม่ ประกาศว่า IPEF เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของตน
ลักษณะเด่นของ IPEF คือ สามารถเจรจาหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งก่อน ความร่วมมือจะเกิดขึ้นทันทีในส่วนที่ตกลงกันได้ ไม่ต้องรอประเทศอื่นๆ ชัดเจนว่า คือการเจรจากับแต่ละประเทศเป็นรายๆ ส่วนใดทำได้ให้ทำก่อนเลย จึงมีลักษณะเจรจาไปเรื่อยๆ ทำข้อตกลงไปเรื่อยๆ แม้ยังพูดว่าเป็นการค้าเสรีแต่ไม่ใช่การค้าเสรีตามทฤษฎีการค้าเสรีดั้งเดิมที่โลกตะวันตกนำเสนอเรื่อยมา
ในอดีตรัฐบาลสหรัฐมักโจมตีจีนและประเทศต่างๆ ที่ไม่ยึดมั่นการค้าเสรี บัดนี้รัฐบาลสหรัฐต่างหากที่ถอยห่างจากการค้าเสรี เน้นการค้าทวิภาคีที่ขึ้นกับผลการเจรจาในแต่ละครั้ง
ในกรอบกว้าง IPEF เชื่อมโยงกับด้านอื่นๆ ของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก จึงไม่ใช่เรื่องการค้าการลงทุนเท่านั้นแต่จะสัมพันธ์กับนโยบายความมั่นคง เรื่องที่รัฐบาลสหรัฐให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการต้านจีน ในที่สุดจะกลายเป็นระบบเศรษฐกิจการเมืองภูมิภาคที่มีสหรัฐเป็นแกนนำนั่นเอง
จากการวิเคราะห์พบว่า นโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ 2.0 คือ IPEF ที่ขยายเป็นระดับโลก ไม่มีการค้าเสรีแล้ว มีแต่การค้าทวิภาคี เจรจาต่อรองเป็นรายๆ
มากกว่าเรื่องขาดดุลการค้า:
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สิ่งที่ทรัมป์ 2.0 กำลังทำคือกระชับความเป็นอภิมหาอำนาจด้วยการเจรจาต่อรอง ตามแนวทางสัจนิยม (realism) ตั้งข้อสังเกตว่าอัตราภาษีตอบโต้หรืออัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ที่ตั้งกับหลายสิบประเทศเป็นการคำนวณอย่างหยาบๆ ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้นเป้าหมายจึงไม่น่าจะอยู่ที่ภาษีเท่านั้น การนำประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาเป็นเรื่องที่กล่าวถึงมากตั้งแต่ก่อนขึ้นภาษี ถึงกับพูดว่ารัฐบาลทรัมป์จะงดขึ้นภาษีหากคุยกันรู้เรื่อง ถ้าเป็นเช่นนี้ หมายความว่าสหรัฐได้ประโยชน์บางอย่างที่เท่าเทียมหรือมากกว่าภาษีที่ขึ้นใช่หรือไม่ บางประเทศทำได้ตามนั้นแล้ว เช่น อาร์เจนตินา น่าคิดว่ารัฐบาลอาร์เจนตินานำผลประโยชน์อะไรของชาติไปแลกกับการงดขึ้นภาษีรอบนี้
แน่นอนว่ารัฐบาลทรัมป์ต้องการลดขาดดุลการค้า พยายามแก้ไขปัญหานี้ แต่ประเด็นขาดดุลการค้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น รัฐบาลสหรัฐยังใช้ประเด็นนี้เพื่อเป้าหมายอื่นๆ ที่ไม่ใช่การค้า เช่น ให้ซื้ออาวุธสหรัฐมากขึ้น ให้ถอยห่างจากรัสเซีย ลดการค้าขายกับจีน ยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพ ฯลฯ
การที่ทรัมป์ใช้กำแพงภาษีกดดันรัฐบาลจีนเพื่อยอมให้บริษัทจีน ByteDance ขาย TikTok แก่สหรัฐเป็นตัวอย่างชัดเจน ทุกอย่างอยู่ที่การเจรจาต่อรอง และเป็นการเจรจาในทางลับที่ประชาชนเข้าไม่ถึง กว่าสังคมจะรู้ตัวก็ไปไกลแล้ว
สหรัฐเคยภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นผู้นำเทคโนโลยีโลก แต่ระยะหลังบางประเทศก้าวหน้ากว่าบางด้าน เช่น การผลิตชิปชั้นสูงของ TSMC บริษัทไต้หวันผู้ผลิตชิปตามสัญญา (Foundry) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก TSMC ไม่ได้ออกแบบหรือขายชิปภายใต้แบรนด์ของตัวเอง เป็นโรงงานผลิตให้กับบริษัทอื่นๆ ที่ออกแบบชิป เช่น Apple, NVIDIA, AMD, Qualcomm และอีกมากมาย
นักวิเคราะห์จีนชี้ว่าสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐต้องการไม่ใช่แค่ให้บริษัทนี้มาตั้งโรงงานผลิตในอเมริกา เพื่อหลบภาษีนำเข้า เพิ่มการจ้างงานในอเมริกา ที่ต้องการจริงๆ คือให้บริษัทนี้เผยความลับเทคโนโลยี ทรัมป์ 2.0 จึงกดดันรัฐบาลไต้หวันไปกดดันบริษัทดังกล่าวอีกทอด ล่าสุดรัฐบาลไล่ ชิงเต๋อ (Lai Ching-te) ประกาศให้บริษัทดังกล่าวให้ความร่วมมือกับสหรัฐและตั้งโรงงานที่สหรัฐเพิ่มเติม น่าเห็นใจที่ไต้หวันพึ่งพาสหรัฐแทบทุกด้านโดยเฉพาะความมั่นคงทางทหาร เมื่อกองทัพไร้ความสามารถต้องพึ่งพาอาศัยสหรัฐ จึงได้แต่ยอมเฉือนผลประโยชน์ที่ควรอยู่กับไต้หวันให้มหาอำนาจ
กดดันให้แคนาดาเป็นของสหรัฐ:
กุมภาพันธ์ 2025 รัฐบาลทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าแคนาดาทุกรายการ 25% (ยกเว้นน้ำมัน ขึ้น 10%) จัสติน ทรูโด (Justin Trudeau) นายกรัฐมนตรีแคนาดาประกาศตอบโต้ การที่รัฐบาลแคนาดายอมไม่ได้เพราะ แบงก์ชาติแคนาดาประเมินว่าภาษีทรัมป์จะทำให้เงินเฟ้อพุ่ง สินค้าในประเทศแพงขึ้นมาก คนแคนาดายากลำบาก ทั้งๆ ที่แคนาดาเป็นพันธมิตรแต่โดนกระทำเหมือนศัตรู
นายกฯ ทรูโดกล่าวถึงการขึ้นภาษีโดยที่สหรัฐอ้างเรื่องแคนาดาไม่พยายามควบคุมยาเฟนทานิล (fentanyl) เข้าอเมริกาว่า แท้จริงแล้วสหรัฐต้องการใช้อำนาจเศรษฐกิจเพื่อต่อรองให้แคนาดายอมเป็นรัฐหนึ่งตามที่ทรัมป์ต้องการ
ในอีกวาระหนึ่ง จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐตั้งใจทำสงครามการค้าเพื่อทำลายระบบเศรษฐกิจแคนาดา ทำให้แคนาดายอมตกเป็นรัฐที่ 51 แต่การนี้แคนาดาจะอยู่รอดและเข้มแข็งกว่าเดิม เพราะนี่คือวาระปกป้องชาติบ้านเมือง “ไม่มีวันที่แคนาดาจะเป็นรัฐที่ 51” ของสหรัฐ ประกาศตอบโต้กำแพงภาษี คนอเมริกันต้องเจ็บปวดจากผลงานรัฐบาลของพวกเขาเอง คนอเมริกันจะตกงานและจ่ายแพงกว่าเดิม นโยบายของทรัมป์โง่เขลามาก ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐจะทำร้ายพันธมิตรเพื่อนบ้านใกล้ชิดของตัวเอง
ด้านทรัมป์ 2.0 ให้เหตุผลว่าจำต้องยึดครองแคนาดาเพื่อความมั่นคงของสหรัฐและของนานาชาติ เพราะจะช่วยให้สหรัฐมีพลังอำนาจมากขึ้น มีแรงต้านปรปักษ์อย่างจีน รัสเซีย ดีกว่าปล่อยให้แคนาดาตกเป็นของจีน แม้ว่ารัฐบาลแคนาดาไม่เห็นด้วย คนแคนาดาต่อต้าน รัฐบาลสหรัฐจะเดินหน้าดำเนินการให้สำเร็จ แม้ต้องล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย หรือด้วยกำลังทหาร ท้ายที่สุดต้องกลายเป็นรัฐที่ 51 อันสวยงามของสหรัฐ ซึ่งหมายถึงแคนาดาสิ้นชาติ
มีนาคม 2025 Melanie Joly รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศแคนาดา กล่าวอย่างน่าคิดว่า “สหรัฐอเมริกาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพันธมิตรใกล้ชิด ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว”
รัฐบาลสหรัฐครั้งหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญปกป้องสมาชิกนาโต บัดนี้กลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงของสมาชิกนาโตเสียเอง ประกาศต้องการครอบครองกรีนแลนด์ของเดนมาร์ก ต้องการยึดครองประเทศอื่นตามแนวทางจักรวรรดินิยม แคนาดาต้องสิ้นชาติ
รัฐบาลแคนาดากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมมากที่สุด นั่นคือปกป้องอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ต่อต้านศัตรูผู้รุกราน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว


