อาเซียน+3ผนึกกำลังต้านลัทธิคุ้มครองทางการค้า

อาเซียนไม่โดดเดี่ยว มีจีนกับญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่ม ช่วยให้สมาชิกผ่านพ้นมรสุมได้ดียิ่งขึ้น และน่าจะเห็นความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมตามมา

พฤษภาคม 2025 แถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 28 (Joint Statement of the 28th ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting) ประกาศจุดยืนและท่าทีต่อกำแพงภาษีทรัมป์ 2.0 อาเซียนแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มีสาระสำคัญพร้อมการวิเคราะห์ ดังนี้

ภาพ: แถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 28

เครดิตภาพ: https://asean.org/wp-content/uploads/2025/05/Final-Draft-of-Joint-Statement_28th-AFMGM3-clean_20250504.pdf

ต่อต้านลัทธิคุ้มครองทางการค้า:

แถลงการณ์ร่วมฯ เริ่มต้นด้วยการบรรยายว่าเศรษฐกิจภูมิภาคดำเนินด้วยดี เงินเฟ้อลดลง การบริโภคภายในแข็งแกร่ง ส่งออกโดยรวมเข้มแข็ง ฟื้นตัวจากโรคระบาดโควิด-19 จีดีพีรวมปี 2025 น่าจะอยู่ที่ 4% อาจต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ที่อยู่ 4.2-4.3% สามารถปรับตัวเข้ากับบริบทที่เปลี่ยนแปลง แต่มองอนาคตว่าไม่แน่นอน

“ลัทธิคุ้มครองทางการค้า" (trade protectionism) คือต้นเหตุสำคัญของความไม่แน่นอนในอนาคต นำสู่การแบ่งแยกทางเศรษฐกิจ ทำให้การค้าการลงทุน การไหลของทุนเปลี่ยนไป เศรษฐกิจชะลอตัว

ยึดมั่นพหุภาคีนิยม:

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว อาเซียน+3 เรียกร้องให้ภูมิภาคเป็นเอกภาพและร่วมมือกันเผชิญหน้าความไม่แน่นอนนี้ ปรับตัวรับมือสถานการณ์ในวันข้างหน้า โดยยึดความยืดหยุ่นรับมือเหตุการณ์เฉพาะหน้า รวมทั้งความอ่อนไหวของระบบการเงินโลก แต่ละประเทศต้องมีมาตรการรับมือ

ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ไม่ชัดว่าผลปลายทางเป็นอย่างไร อาเซียน+3 ยืนยันยึดมั่นพหุภาคีนิยม (multilateralism) ที่ตั้งบนกติกา ไม่เลือกปฏิบัติ แต่เปิดเสรี ยุติธรรม รวมทุกประเทศเข้ามา ยึดความเท่าเทียม เป็นระบบการค้าพหุภาคีที่โปร่งใส มีองค์การการค้าโลกเป็นแกนหลัก ยึดมั่นความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ที่อาเซียน+3 เป็นสมาชิก

วิเคราะห์: รัฐบาลสหรัฐพูดพร่ำเสมอว่า ขอให้นานาชาติยึดนโยบายสร้างระเบียบการค้าที่ตั้งอยู่บนกติกา แต่กลับละเมิดแนวทางทุนนิยมการค้าเสรี ละเมิดหลักองค์การการค้าโลก การถอยห่างจากการค้าเสรีนี้ไม่ได้เริ่มในทรัมป์ 2.0 ในสมัยไบเดนก็ถอยห่างเช่นกัน รัฐบาลไบเดนถือนโยบายการค้าหลายอย่างที่สอดคล้องกับทรัมป์สมัยแรก

รัฐบาลสหรัฐมักพูดว่าต้องการสร้าง “ระเบียบการค้าที่ตั้งอยู่บนกติกา” จึงมีคำถามว่าคืออย่างไรกันแน่ เห็นชัดว่ารัฐบาลสหรัฐกำลังใช้พลังเศรษฐกิจเพื่อเป้าหมายการเมืองระหว่างประเทศ เจาะจงเล่นงานบางประเทศที่ถูกตีตราว่าเป็นปรปักษ์ และพร้อมฉีกกติกาการค้าที่ตนร่างขึ้น

ด้วยเหตุนี้นานาชาติกับเอกชนทั่วโลกจึงตีตราว่า รัฐบาลสหรัฐไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต นี่คือ American decline ที่แท้จริง

ความร่วมมือทางการคลัง:

ประการแรก ร่วมความเข้าใจสถานการณ์โลก

บทบาทพื้นฐานคือ ส่งเสริมการอภิปราย การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศสมาชิกอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในเรื่องการคลัง แนวทางการบริหารจัดการด้านการคลัง

ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาความยั่งยืนทางการคลัง และรับมือสังคมคนสูงวัย ตั้งเป้าเพิ่มความร่วมมือด้านนี้มากขึ้น

อาเซียน+3 สร้างกลไกความร่วมมือบางอย่าง เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์โลกที่เกี่ยวข้อง ได้บทสรุปร่วมกัน เป็นประโยชน์ต่อสมาชิก สามารถร่วมกันจัดการปัญหาทันท่วงที แถลงการณ์ร่วมฯ ที่ต่อต้านลัทธิคุ้มครองทางการค้าฉบับนี้คือผลงานของกลไก

วิเคราะห์: ถ้ายึดแถลงการณ์ร่วมฯ ความร่วมมืออาเซียน+3 เน้นหารือ แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เป็นไปได้หรือไม่หากสถานการณ์กดดันมากกว่านี้ความร่วมมือจะเป็นรูปธรรมมากขึ้น เป็นอีกทางเลือกให้กับสมาชิกที่อยู่ในเอเชียแปซิฟิก และอาจทำภายใต้กรอบ RCEP ที่มีอยู่แล้ว

เป็นอีกทางเลือกนอกเหนือจากกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่ถูกวิพากษ์ว่าเป็นปรปักษ์กับสหรัฐอย่างชัดเจน เช่น ตั้งใจลดใช้ดอลลาร์ นโยบายสร้างสกุลเงินตนเอง มีระบบชำระเงินของตนเองที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นตามลำดับ

มกราคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศห้ามเลิกใช้ดอลลาร์ในการค้าโลก ประเทศใดขัดขืนจะเจอกำแพงภาษี 100%

กรอบความร่วมมือทางการคลังอาเซียน+3 ในอนาคตคงไม่เข้มข้นเท่า BRICS เป็นแนวทางแบบอาเซียนที่เน้นความยืดหยุ่น ไม่บังคับ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรง เป็นอีกช่องทางหนึ่งในยามที่ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยน อนาคตไม่แน่นอน รัฐบาลสหรัฐพยายามสร้างระเบียบโลกใหม่ตามความต้องการของตน

ประการที่ 2 CMIM

ปฏิบัติตามข้อตกลง Chiang Mai Initiative Multilateralisation (CMIM) หรือข้อตกลงพหุภาคีว่าด้วยการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ภายใต้กรอบอาเซียน+3 เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งความร่วมมือทางการเงินระดับภูมิภาค

ให้ความสำคัญต่อกลไกการเงินเร่งด่วน (Rapid Financing Facility: RFF) โดยรวมสกุลเงินที่สามารถใช้ได้อย่างเสรีและมีคุณสมบัติเหมาะสมให้เป็นสกุลเงินหลักภายใต้ CMIM (กลไกนี้ไม่สร้างสกุลเงินใหม่ เน้นให้ความสำคัญกับบางสกุล) เป้าหมายดั้งเดิมคือ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิก ที่ประสบปัญหาด้านดุลการชำระเงิน หรือขาดแคลนสภาพคล่องในระยะสั้น เป็นกลไกเสริมจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศอื่นๆ เช่น จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

ที่มาของ CMIM คือ วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตการณ์ทางการเงินเอเชีย ปี 1997-1998 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายประเทศในภูมิภาค รัฐบาลในสมัยนั้นนึกถึงกลไกช่วยเหลือทางการเงินนอกเหนือจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิม กล่าวได้ว่า CMIM คือความช่วยเหลือระดับภูมิภาคนั่นเอง ดึงความช่วยเหลือจากจีนกับญี่ปุ่นที่ฐานะการคลังเข้มแข็งกว่า มีประสิทธิภาพสูงกว่า

ประการที่ 3 โครงการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย

โครงการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Markets Initiative: ABMI) เป้าหมายหลักคือ พัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นในภูมิภาคเอเชีย ให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนการพึ่งพาการระดมทุนด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงอย่างเดียว โครงการนี้คืบหน้าตามลำดับ ในอนาคตน่าจะมีบทบาทมากขึ้น ทำให้จีนกับญี่ปุ่นมีบทบาทต่อตลาดพันธบัตรเอเชียนี้

วิเคราะห์องค์รวมและสรุป:

ยุทธศาสตร์ทรัมป์ 2.0 สร้างความปั่นป่วน ความไม่แน่นอนต่อสถานการณ์โลก ASEAN+3 ช่วยให้อาเซียนไม่โดดเดี่ยว อย่างน้อยมีมหาอำนาจเศรษฐกิจจีนกับญี่ปุ่นอยู่ในกลุ่ม น่าจะช่วยให้อาเซียนผ่านพ้นมรสุมครั้งนี้ได้ดียิ่งขึ้น และน่าจะเห็นความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและเป็นรูปธรรมตามมาอีกมาก

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าจีนกับญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญ อาจถูกตีความว่าอาเซียนเอนเอียงเข้าหาจีนมากขึ้น มีจุดยืนต่อต้านลัทธิคุ้มครองทางการค้าร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม แต่ละประเทศมีบริบทของตัวเอง มีความท้าทายของตัวเอง บางประเทศใกล้ชิดสหรัฐมากกว่า นโยบายระดับประเทศจึงไม่ตรงกันเสียทีเดียว การเป็นสมาชิกอาเซียนไม่ใช่คำตอบแก้ทุกปัญหาเบ็ดเสร็จ รัฐบาลต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขันและส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างสังคมที่เป็นธรรม พัฒนาศักยภาพแรงงานและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนทักษะ เหล่านี้เป็นบางประเด็นที่ต้องทำอย่างจริงจัง ถ้าตัวเองไม่แก้ไข สุดท้ายก็ต้องรับผลที่ตนทำไว้ พึ่งหวังประเทศอื่นอย่างเดียวไม่ได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ

มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์

4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก

ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด

อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ

ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว

‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)

สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว