หนุ่มทมิฬและสาวเยอรมัน

หากใครบางคนกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Jetwing ในเมืองจาฟฟ์นาโดยที่เขาไม่ได้เป็นแขกของโรงแรม ให้สันนิษฐานว่าเขาต้องการขึ้นไปดื่มเครื่องดองของเมาเป็นการเฉพาะ เพราะบนชั้นดาดฟ้าคือที่ตั้งของ Rooftop Bar และตามข้อมูลที่ผมได้รับนี่คือบาร์แห่งเดียวในตัวเมืองจาฟฟ์นา

คัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ระบุไว้ว่า การเสพของมึนเมาถือเป็นบาป ฉะนั้นในเมืองที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดูก็มักจะไม่มีการสนับสนุนให้มีผับ-บาร์ จาฟฟ์นาของศรีลังกาคือหนึ่งในนั้น

แม้ว่าในเขตตัวเมืองจะมีร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้รับอนุญาตอยู่หลายร้าน แต่ก็เป็นร้านแบบซื้อกลับไปบริโภคที่บ้าน ร้านเหล่านี้จะลงท้ายด้วยคำว่า Wine Stores ซื้อขายไวน์ เหล้า เบียร์ ผ่านลูกกรงแบบร้านรับจำนำ นอกจากนี้ก็มีร้านอาหารที่เสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ (เท่าที่รู้) อีก 1 ร้าน ชื่อ Liquor Restaurant No.1 ตั้งอยู่ใกล้ๆ ป้อมจาฟฟ์นา ซึ่งคาดว่าใบอนุญาตคงมีราคาสูงลิ่ว และดูๆ ไปเป็นที่ดื่มกินของคนท้องถิ่นมากกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ

สำหรับโรงแรม Jetwing Jaffna บนถนน Hospital Rd. ตัดกับถนน Mahathma Gandhi Rd. ที่ผมเดินเข้ามาในช่วงเย็นของวันนี้ตั้งอยู่ห่างจากป้อมจาฟฟ์นาประมาณ 1 กิโลเมตร Jetwing เป็นโฮเทลเชนชื่อดังของศรีลังกา โรงแรม Jetwing Jaffna มีอีกชื่อคือ Jetwing Yarl และอันที่จริงเจ้าของคือ Yarl Hotels เป็นจอยต์เวนเจอร์ระหว่าง Jetwing และกลุ่มธนาคาร MMBL

คำว่า Yarl นี้เราจะเห็นได้ทั่วไปในจาฟฟ์นา เพราะชื่อเดิมของจาฟฟ์นา (Jaffna) คือ “ยาล” และยาลคือเครื่องดนตรีประเภทสาย ขึงเส้นลวดหรือเอ็นบนวัสดุที่ดัดหรือแต่งเป็นรูปโค้งคล้ายคันธนู ใช้มือดีดเพื่อให้เกิดเสียง ยาลมีหลายชนิด บางชนิดมีขนาดสูงถึง 6 ฟุต และใช้เส้นลวดถึง 1,000 เส้น

วันฝนตกในเมืองจาฟฟ์นา

ตำนานที่บันทึกไว้มีอยู่ว่า นักดนตรีตาบอดนาม “วีระ ราฆวาน” แห่งอาณาจักรโจฬะจากอนุทวีปอินเดียได้เดินทางมายังตอนเหนือของศรีลังกา ชาวเมืองนิยมชมชอบความไพเราะในการดีด “ยาล” ของเขาเป็นอันมาก ความทราบไปถึงเจ้าเมืองทางเหนือของศรีลังกาในเวลานั้น จึงมีคนตามให้นักดนตรีตาบอดไปเล่นยาลให้เจ้าเมืองฟัง ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วเจ้าเมืองไม่สามารถพบคนตาบอดได้ แต่ก็สามารถแก้ปัญหาโดยการขึงม่านกั้นระหว่างเจ้าเมืองและนักดนตรี

เจ้าเมืองพอใจฝีมือของนักดนตรีตาบอดเป็นอย่างมาก มอบที่ดินริมทะเลผืนใหญ่ (ไม่ห่างจากป้อมจาฟฟ์นาในปัจจุบัน) ให้เป็นรางวัล ต่อมานักดนตรีตาบอดกลับไปชักชวนญาติมิตรและเพื่อนบ้านในอินเดียตอนใต้ให้เดินทางมาตั้งรกรากในเขตที่ดินที่ได้รับจากเจ้าเมือง เขตดังกล่าวจึงถูกเรียกว่า “ยาลปานัม” หรือเมืองของนักเล่นยาล

ยาลปานัมเขียนเป็นภาษาโรมันว่า Yarlpanam หรือ Yalpanam ภาษาพูดของ Yalpanam คือ Yappanam พอโปรตุเกสเข้ายึดตอนเหนือของศรีลังกา พวกเขาเรียกเพี้ยนเป็น Jaffna เพราะ Y และ J ใช้แทนกันได้ เช่นเดียวกับ pp และ ff ส่วนตัวสะกด m ก็ถูกตัดออกไป

เพราะฉะนั้น Yarl หรือ Yal ก็คือ “Jaffna” และในหมู่ชาวทมิฬก็ยังมีคนเรียกเมืองหลวงของจังหวัดนอร์เทิร์นแห่งนี้ว่าเมืองยาล ชื่อโรงแรมและร้านรวงจำนวนมากตั้งชื่อว่า “ยาล” รวมทั้งโฮสเทลที่ผมพัก

ซุ้มขายล็อตเตอรีริมถนนในเมืองจาฟฟ์นา

กลับมาที่โรงแรม Jetwing Jaffna ของเรากันอีกครั้ง ชั้นดาดฟ้าของโรงแรมคือร้าน Rooftop Bar เป็นสถานที่ดื่มกินของนักท่องเที่ยว ทั้งจากภูมิภาคอื่นของศรีลังกาและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงคนที่อยากมาเจอนักท่องเที่ยวต่างชาติ

หนุ่มศรีลังกา 2 คนนั่งคุยอยู่กับฝรั่งชาย-หญิงคู่หนึ่งตอนที่ผมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะใกล้ๆ เคาน์เตอร์บาร์ สั่งเบียร์ Lion ขนาด 1 ไพนต์ ส่วนกับแกล้มคือไข่เจียวมาซาล่าและปลาทูน่าทอดสมุนไพร ฝรั่งคู่นั้นเช็กบิลลุกออกไปจากร้าน หนุ่มศรีลังกา 2 คนกลับไปนั่งที่โต๊ะของพวกเขา แล้วหนึ่งในนั้นซึ่งเป็นคนที่พูดมากหันมาทักผม เขาคนนี้พูดมากก็จริง แต่แทบไม่พูดภาษาอังกฤษ ผมสังเกตเห็นตอนที่พวกเขานั่งคุยกับฝรั่ง เพื่อนอีกคนทำหน้าที่ล่ามคอยแปล

ผมจิบเบียร์ไปได้เพียงนิดเดียว กับแกล้มอีกหน่อย คนพูดมากก็ยกจานไก่ทอดของเขามาให้ผม บอกว่า “สะอาด กินได้เลย” เขากลับไปนั่งได้ไม่ถึงนาทีก็เดินกลับมาใหม่ นั่งลงที่เก้าอี้ด้านขวามือของผม อีกคนเดินมากล่าวขอโทษแทนเพื่อนของเขา แล้วชวนกันกลับไปนั่งที่เดิม แต่คนพูดมากก็ลุกมานั่งที่โต๊ะผมอีก ฝ่ายเพื่อนคงเห็นว่าห้ามยังไงก็ไม่ฟังแน่ ลุกตามมานั่งด้วย ประกบผมซ้าย-ขวา สารภาพว่าผมไม่อยากให้พวกเขามายุ่งด้วยเลย ทั้งเพราะกลัวโควิด และรังเกียจพฤติกรรมบางอย่างของหนุ่มคนพูดมาก แต่จะให้ทำไงได้ นี่มันบ้านของพวกเขา

คุยไปคุยมาจึงทราบว่าพวกเขาอายุ 27 ปีเท่ากัน ทั้งคู่เป็นชาวทมิฬ คนพูดมากชื่อประกิต อีกคนชื่อคีรี พวกเขาขี่มอเตอร์ไซค์กันมาดื่มที่นี่โดยถือหมวกกันน็อกขึ้นมาด้วย ผมสังเกตเห็นหลายครั้งว่าคนขี่มอเตอร์ไซค์ในศรีลังกาจะไม่ปล่อยให้หมวกกันน็อกห่างจากตัว บางคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปตกปลา จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ขณะตกปลาก็ยังสวมหมวกกันน็อก ได้ความว่าหากอยู่ห่างกาย หมวกกันน็อกจะหายเอาง่ายๆ และหมวกกันน็อกของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีขนาดใหญ่ คลุมทั้งศีรษะและลำคอ ไม่เหมือนในบ้านเราที่หลายคนชอบสวมใบเล็กๆ เปิดหน้า เปิดคอ กันอะไรแทบไม่ได้ นอกจากกันตำรวจ

คีรีทำงานเป็นคนขับรถส่งของอยู่ที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ กลับมาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ฟินแลนด์เขาเข้าผับบาร์เป็นว่าเล่นจึงมีภูมิต้านทาน ไม่เมาง่ายๆ เหมือนประกิต เขาทั้งคู่ดื่มเท่าๆ กัน แต่ประกิตเมามากกว่าหลายเท่า คีรีกล่าวขอโทษหลายครั้งที่ประกิตรบกวนผม และเขาก็ไม่สามารถลากให้เพื่อนกลับไปนั่งโต๊ะได้ พนักงานของร้านเดินผ่านไปมาก็มองเชิงตำหนิ แต่ไม่กล้าตักเตือน คีรีบอกผมว่าพ่อของประกิตค่อนข้างมีอิทธิพล และหากว่าผมมีเรื่องมีราว หรือถูกตำรวจจับในจาฟฟ์นาแล้วล่ะก็ โทรหาประกิตได้ทันที

ประกิตขอเบอร์โทรศัพท์ผมไปและกดหมายเลขโทรเข้าเครื่องของผม เขาบอกให้ผมโทรหาในวันพรุ่งนี้ เขาจะไปรับผมจากโฮสเทลไปกินข้าวที่บ้าน

“แม่ผมทำอาหารอร่อย” คีรีแปลให้ฟัง เขายังเสนอว่ามีสาวๆ จะแนะนำให้รู้จัก

พอเห็นว่าผมไม่มีท่าทีกระตือรือร้นหรือสนใจสาวๆ ศรีลังกาเป็นพิเศษ คีรียิงคำถามว่า “คุณไม่ชอบผู้หญิงศรีลังกา เพราะว่าพวกเธอผิวดำใช่มั้ย?” ผมขอให้เขาพูดว่าผิวคล้ำ ไม่ใช่ผิวดำ คีรียืนยัน “ผิวดำน่ะถูกแล้ว โอเคคุณจะให้คำตอบได้หรือยัง” ผมตอบว่าถ้าสวยก็ชอบ เขาจ้องยิ้มๆ แล้วพูดว่า “คุณไม่ชอบผู้หญิงศรีลังกา เพราะพวกเธอผิวดำ” ผมจนใจ ตอบไปว่า “แล้วแต่จะคิด” แล้วผมก็นึกถึงผู้หญิงศรีลังกาคนนั้นที่เจอในรถไฟระหว่างการโดยสารจากโคลัมโบ-อนุราธปุระ เธอผิวคล้ำแต่สวยมาก ปลายทางของเธอวันนั้นคือ Kankesanturai สถานีเหนือสุดของศรีลังกา

เบียร์ของพวกเขาหมดลง คีรีชวนประกิตกลับ แต่เพื่อนเมาพูดไม่รู้เรื่อง และพูดน้ำลายกระเซ็น ผมนุ่งกางเกงขาสั้นก็รู้สึกได้ว่ากระเซ็นมาโดนแถวหน้าแข้ง 2-3 ครั้ง หมอนี่ยังถ่มน้ำลายลงในกระถางต้นไม้ข้างๆ โต๊ะอีกต่างหาก เขาไม่ยอมกลับและบอกว่าบุหรี่หมด อยากสูบบุหรี่ต่อ คีรีผู้มีเงินมาจากฟินแลนด์บอกผมว่าต้องพาหมอนี่มาเลี้ยงแทบทุกวันตั้งแต่กลับมา แต่วันนี้เงินสดเขาหมดลงแล้ว ประกิตขอให้ผมซื้อบุหรี่ให้ ผมคิดว่าซื้อให้แล้วพวกเขาจะลุกไป แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกเขาอยากดื่มเบียร์ต่อ คีรีขอ Lion เหมือนผม ส่วนประกิตขอ Carlsberg ซึ่งแพงกว่า

ผมเรียกเช็กบิลเพื่อแสดงให้เห็นว่ากำลังจะกลับ ค่าบุหรี่ของประกิต 2,300 รูปี ซึ่งเป็นราคามากกว่าครึ่งของบิล 4,000 รูปีก่อนภาษีและเซอร์วิสชาร์จ ผมไม่รู้เลยว่าบุหรี่ในศรีลังกาจะแพงขนาดนี้ 2,300 รูปีคิดเป็นเงินไทยประมาณ 400 บาท วันต่อมาจึงรู้ว่าราคาของบุหรี่จากร้านจำหน่ายในเมืองจาฟฟ์นาตกซองละ 1,400 รูปี ซึ่งคิดเป็นเงินไทยราว 230 บาท

เหล้าและเบียร์ของศรีลังการาคาถูกกว่าบ้านเราอยู่นิดหน่อย แต่บุหรี่แพงกว่ามาก จึงไม่แปลกใจที่บางร้านมีบุหรี่แบ่งขายเป็นมวน คืนหนึ่งในกรุงโคลัมโบ คนขับตุ๊กๆ ที่ผมชวนไปดื่มสั่งบุหรี่จากบริกรมาสูบให้รางวัลตัวเอง 1 มวน ผมนึกว่าเขาขอ พอถามจึงรู้ว่าซื้อ

ตัวเมืองจาฟฟ์นา ถนนแคบแต่ค่อนข้างสะอาด

เป็นผมที่ลุกออกจากร้านไปก่อน 2 หนุ่มทมิฬ แวะซื้อเบียร์ Lion อีก 1 กระป๋องยาว ระหว่างทางกลับ Yaarl Hostel บนถนน Stanley Rd. ซูเฟียน-หนุ่มจอร์แดนเพื่อนร่วมห้องดอร์มนั่งดื่มเบียร์อยู่แล้วและกำลังสูบพันลำ ชัตติ-หนุ่มทมิฬผู้ดูแลโฮสเทลและควบตำแหน่งครูฝึกในยิมออกกำลังกายเข้ามาสมทบ หมดเบียร์ผมหยิบ Tamnavulin ออกมาจากกระเป๋าเป็นครั้งแรกหลังจากเปิดดื่มที่เมืองนีกัมโบเมื่อราว 10 วันก่อนหน้านี้

ชัตติอาสาไปเอาแก้วจากในครัว ผมขอให้เขาหยิบมาเผื่อตัวเขาเองด้วย แต่เขาหยิบมาเพียง 2 ใบ ผมรินใส่แก้วทั้ง 2 ใบ ประมาณใบละ 2 ช็อต ยื่นใบหนึ่งให้ซูเฟียน เขาจิบแล้วส่งต่อให้ชัตติ บอกว่า "ไอไม่ใช่แฟนวิสกี้" ส่วนชัตติรับไปแล้วซดรวดเดียวหมดแก้ว ผมเกือบพูดออกไปว่า “อย่าดื่มซิงเกิลมอลต์แบบนั้น” แก้วต่อๆ มาเขาก็ดื่มจนแห้งแบบรวดเดียว ทำให้ผมคิดว่าวิสกี้ขวดนี้ไม่น่าจะอยู่จนจบทริปตามแผนที่วางไว้ (และก็เป็นเช่นนั้น คืนต่อมาชัตติซดเอาๆ จนเกลี้ยงขวด)

ก่อนนอนชัตติถามว่าพรุ่งนี้เช้าต้องการกาแฟหรือชา ทั้งผมและซูเฟียนตอบกาแฟเหมือนกัน และเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ผมหันไปทางเตียงของซูเฟียน เขาไม่ขยับตัว ผมเดินออกไปเปิดประตู ชัตติถือแก้วกาแฟร้อนทั้งมือซ้ายและมือขวา ผมนึกว่าเขาจะเตรียมไว้ในห้องครัว นี่เล่นเสิร์ฟกันถึงเตียงนอนเลยทีเดียว เป็นกาแฟสำเร็จรูปใส่ครีมเทียมและน้ำตาล ผมจำต้องดื่มเพราะรู้แล้วว่าในจาฟฟ์นาหากาแฟดื่มได้ยากเย็นขนาดไหน

เมื่อตอนบ่ายวานนี้ ผมเดินหาร้านกาแฟยังไงก็ไม่เจอ ชัตติแนะนำร้านเบเกอรี่ชื่อ Rolex’s Bake Mart มีขนมปัง เค้ก และเบเกอรี่หลากหลาย รวมถึงกาแฟชงสำเร็จรูปพร้อมดื่มแบบกดจากถังของ “เนสที” หวานจนอยากบ้วนทิ้ง เข้าซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อ Cargills สาขาใกล้ที่พัก มองหากาแฟกระป๋อง แต่ไม่มี ลุง รปภ.เดินมาช่วยหา แกชี้ไปที่สินค้ากล่องขนาด 1 ลิตรเขียนว่า Cold Coffee แต่พอซื้อมาเปิดดื่มที่โฮสเทลก็พบว่าเป็นเพียงนมวัวรสกาแฟ จึงสรุปกับตัวเองได้ว่าถ้าอยากดื่มกาแฟ (แบบที่อยากดื่ม) ก็คงต้องไปที่โรงแรม Jetwing Jaffna เพียงแต่ว่าต้องเดินประมาณ 1 กิโลเมตร

ถนนย่านศูนย์การค้าที่ค่อนข้างซบเซาในเวลานี้

ซูเฟียนตื่นมาดื่มกาแฟแล้วตามผมขึ้นไปยังห้องครัว ชัตติทำทุกอย่างให้พวกเรา ทั้งเตรียมขนมปัง เนย+แยม ทอดไข่เจียว และแล้วเราก็ได้พบกับสตรีผู้ทำให้ซูเฟียนต้องย้ายไปนอนห้องเดียวกับผม เธอเป็นสาวเยอรมัน ผิวขาว ผมสีบลอนด์ ตัวสูง หุ่นออกไปทางอวบ ใบหน้าสวย หน้าอกโต และไม่ใส่ยกทรง คะเนอายุประมาณ 25 ปี

ผมมีขนมปังโฮลเกรนที่ซื้อมาจาก Rolex วานนี้ แบ่งให้เธอครึ่งหนึ่ง นมรสกาแฟยกให้เธอทั้งหมด กล้วยหอมเหลืออยู่ 2 ลูกก็ให้เธอไป เชื่อหรือไม่ เธอฟาดเกลี้ยงทุกอย่าง เห็นเธอกินจุอย่างนี้ก็คิดว่าน่าจะเป็นเด็กกำลังโต ผมต้องเดาอายุใหม่ ไม่แน่เธออาจยังไม่ถึง 20

เคลาเดีย คือชื่อที่ผมเรียกเธอ เป็นชื่ออ้างอิงที่ผมใช้เรียกผู้หญิงเยอรมันผมบลอนด์เกือบทุกคน มาจาก “เคลาเดีย ชีฟเฟอร์” อดีตนางแบบชื่อดัง เธอแปลกใจที่ผมมั่วได้ใกล้เคียง เพราะเคลาเดียเป็นชื่อกลางของเธอ ส่วนชื่อหน้าคือ “ฮันนาห์”

วันนี้ฝนตกลงมาตั้งแต่เช้า แผนการของผมวันนี้คงต้องพับไว้ก่อนจนกว่าฝนจะหยุด ซูเฟียนก็เช่นกัน แต่ไม่ใช่ฮันนาห์ เธอขอร่มจากชัตติออกเดินชมเมือง ภารกิจตามหาร้านกาแฟของผมยังคงล้มเหลวอีกวัน ตอนบ่ายก็ไปลงเอยที่ Rolex’s เหมือนเดิม

มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น วานนี้ผมซื้อขนมปังโฮลเกรน 1 แพ็ก ราคา 100 รูปี กาแฟหวาน 20 รูปี วันนี้แคชเชียร์หนุ่มคิดราคาโฮลเกรนแค่ 65 รูปี ส่วนกาแฟหวานเพิ่มเป็น 50 รูปี วันต่อมาซูเฟียนไปซื้อขนมร้านนี้ เขาบอกว่าแคชเชียร์สำรวจใบหน้าแล้วจึงค่อยคิดเงิน แสดงว่าราคาสินค้าในร้านขึ้นอยู่กับอารมณ์และระดับความพึงพอใจของแคชเชียร์ล้วนๆ

เวลาเกือบ 5 โมงเย็น ฮันนาห์กลับมา เธอแวะทักผมและซูเฟียนที่เปิดประตูห้องเอาไว้ บอกว่าเดินไปโน่นไปนี่มาตั้งหลายที่ เดินไกลหลายกิโล เดินจนเดินไม่ไหวก็เรียกตุ๊กๆ ทำให้ผมและซูเฟียนรู้สึกอับอายที่เป็นชายอกสามศอก แต่มีความกล้าน้อยนิด สู้ผู้หญิงอายุน้อยก็ไม่ได้ ยอมแพ้ให้กับฟ้าฝน ไม่ไปไหนไกลนอกจากหาของกินกับอยู่ในที่พัก

พอฮันนาห์เข้าห้องของเธอไป ผมและซูเฟียนก็มองหน้ากัน ลงความเห็นว่าควรเดินลงไปยังชั้นล่างและออกจากที่พักอย่างเร่งด่วน ส่วนจะไปไหนค่อยตัดสินใจ

    ก่อนที่จะถูกเด็กสาวหัวเราะเยาะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อย่าโหน..อย่าโยน...อย่าโยง

ชีวิตทุกชีวิตมีค่า แม้ว่าจะไม่ได้มีค่าสำหรับทุกคน แต่ก็คงมีค่ากับใครบางคน แม้ว่าจะไม่มีค่าสำหรับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ก็คงจะมีค่าสำหรับบางเรื่องของสังค

อโหสิกรรมและการให้อภัย

จะเป็นแต่เฉพาะ สังคมไทย หรือสังคมอื่นๆ ด้วยหรือไม่? อย่างไร? ก็ยังไม่แน่ใจ ที่เมื่อใครก็ตามซึ่งได้สิ้นชีพิตักษัยลงไปแล้ว ไม่ว่าจะคิดต่าง เห็นต่าง

สีกากีทุกข์ใจ

คงต้องลุ้น คงต้องรอดูว่าวันที่ 20 พ.ค. 2567 บิ๊กต่อ-พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.จะได้กลับมาทำหน้าที่ "แม่ทัพใหญ่สีกากี" นั่งทำงานภายใน "กรมปทุมวัน"

รัฐมนตรี...ที่ไม่ใช่รัฐมนตรง

ในอดีตก่อนกาลนานมาแล้ว รัฐมนตรีของไทยเรา จะเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ที่ “ตรง” กับบทบาทและหน้าที่ สามารถกำกับนโยบายและบริหารงานกระทรวงที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี

จงรับกรรม-จงรับกรรม-จงรับกรรม!!!

อาจด้วยเหตุเพราะความเดือดพล่านของโลกทั้งโลก...ไม่ว่าในแง่อุณหภูมิอากาศ หรือในหมู่มวลมนุษย์ ที่ใกล้จะล้างผลาญกันในระดับสงครามโลก-สงครามนิวเคลียร์ ยิ่งเข้าไปทุกที