ประเด็นที่ถกเถียงเรื่อยมาคือ ต้องรอให้คนของเราบาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมากก่อนหรือ จึงจะโจมตีโต้กลับ กับบางประเทศใช้หลักป้องกันตัวเองเป็นข้ออ้างเพื่อรุกรานคนอื่น
ถ้ามีผู้หนึ่งแสดงท่าทีอาฆาตมาดร้าย ถืออาวุธเดินตรงเข้ามาทำท่าจะทำร้าย เราสามารถยิงผู้นี้ก่อนเพื่อป้องกันตัวเอง เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีเหตุที่ประเทศสามารถป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อน เรื่องนี้ใช้หลักการ 2 ข้อ คือ การป้องกันตัวเอง กับการชิงโจมตีก่อน

ภาพ: ขีปนาวุธ PHL-03
เครดิตภาพ: https://www.facebook.com/photo/?fbid=4541308152762443&set=a.1544794972413791.
การโจมตีก่อนเพื่อป้องกันตัวเองมีมานานแล้ว ในทางวิชาการยึดหลักการที่ได้จาก Caroline Case เมื่อปี ค.ศ.1837 สามารถใช้กำลังเพื่อป้องกันตนเอง ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ ดังนี้
1) ความจำเป็น (Necessity) มีความจำเป็นอย่างท่วมท้นและไม่มีทางเลือกอื่น
2) ความทันที (Instant) ต้องกระทำอย่างทันท่วงที ไม่มีเวลาให้พิจารณา ต้องรีบลงมือ
3) ความได้สัดส่วน (Proportionality) การใช้กำลังต้องได้สัดส่วนกับภัยคุกคามที่เผชิญอยู่ ไม่ใช้กำลังมากเกินความจำเป็น
มาตรา 51 การตีความที่แตกต่าง:
ภายใต้มาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ รัฐสมาชิกมีสิทธิป้องกันตนเอง
มาตรา 51 บัญญัติว่า “ไม่มีข้อความใดในกฎบัตรนี้จะรอนสิทธิโดยธรรมชาติในการป้องกันตนเองโดยลำพัง หรือโดยร่วมกัน หากการโจมตีด้วยกำลังอาวุธบังเกิดแก่สมาชิกของสหประชาชาติ จนกว่าคณะมนตรีความมั่นคงจะได้ดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ มาตรการที่สมาชิกได้ดำเนินไปในการใช้สิทธิป้องกันตนเองนี้จะต้องรายงานให้คณะมนตรี ความมั่นคงทราบโดยทันที และจะต้องไม่กระทบกระเทือนอำนาจและความรับผิดชอบของคณะมนตรีความมั่นคงตามกฎบัตรฉบับปัจจุบันแต่ประการใด ในอันที่จะดำเนินการเช่นที่เห็นจำเป็นไม่ว่าในเวลาใด เพื่อธำรงไว้หรือสถาปนากลับคืนมาซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ”
มาตรา 51 ระบุว่า รัฐสมาชิกสามารถใช้กำลังป้องกันตัวเองเมื่อโดนโจมตีแล้วเท่านั้น แต่ในโลกแห่งความจริงบางครั้งรอให้โดนโจมตีก่อนไม่ได้ เป็นประเด็นถกเถียงใน 2 มุมมอง
1) มุมมองที่เคร่งครัด (Strict Interpretation)
มุมมองนี้ชี้ว่ามาตรา 51 ระบุชัดว่าต้องมีการโจมตีเกิดขึ้นจริงแล้วเท่านั้นจึงจะใช้สิทธิป้องกันตนเองได้
2) มุมมองที่ยืดหยุ่น (Liberal Interpretation)
บางคนแย้งว่าในโลกยุคใหม่ที่ภัยคุกคามรวดเร็วและรุนแรง เช่น อาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (weapons of mass destruction: WMD) เช่น ระเบิดนิวเคลียร์ การโจมตีทางไซเบอร์ การรอให้ถูกโจมตีก่อนอาจสายเกินไป จึงควรอ้างสิทธิป้องกันตนเองได้หากมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าภัยคุกคามนั้น “ใกล้จะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง”
ต้องรอให้คนของเราบาดเจ็บเสียชีวิตจำนวนมากก่อนหรือ จึงจะโจมตีโต้กลับได้
การป้องกันตัวเองล่วงหน้า:
‘การป้องกันตัวเองล่วงหน้า’ เป็นประเด็นย่อยของการป้องกันตัวเอง
การป้องกันตนเองล่วงหน้า (Anticipatory Self-Defense) คือ การที่รัฐใช้กำลังทหารโจมตีฝ่ายตรงข้ามก่อนฝ่ายเราถูกโจมตีจริง โดยชี้ว่ามีภัยคุกคามที่ “ใกล้จะเกิดขึ้นอย่างยิ่ง” (imminent threat) และจำเป็นต้องชิงโจมตีก่อนเพื่อป้องกันตนเอง
กรณีตัวอย่างที่ใช้กันมากคือ ไม่สามารถปล่อยให้ข้าศึกใช้อาวุธนิวเคลียร์ หรืออาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงอื่นๆ (WMD) เช่น อาวุธเคมี ชีวภาพ เพราะอานุภาพทำลายร้ายแรง พลเรือนจำนวนมากเสี่ยงถูกทำร้าย
เรื่องการป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อน ยิ่งลงรายละเอียดยิ่งมีประเด็นถกเถียง จากกฎเกณฑ์กับสถานการณ์ที่ขัดกัน และยังหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้ ไม่ว่ากติกาเป็นอย่างไร ศตวรรษที่ 21 ยังใช้หลักการเหล่านี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นสะท้อนความเป็นไปของโลกนี้ หลักการกับภาคปฏิบัติ
ตัวอย่างการป้องกันตนเองล่วงหน้า:
บทความนี้ยก 2 ตัวอย่าง คือ การโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน กับ WMD ของซัดดัม
ประการแรก การโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน
มิถุนายน 2025 อิสราเอลกับสหรัฐร่วมกันใช้กำลังทางอากาศโจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ต้องการขจัดภัยนิวเคลียร์นี้อย่างราบคาบ
ด้านรัฐบาลอิหร่านประกาศซ้ำหลายครั้งว่าใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติเท่านั้น ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ใช้นิวเคลียร์ในทางสันติ เช่น ใช้ในทางการแพทย์ การถนอมอาหาร ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้า อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี ประกาศฟัตวา (fatwa) ซ้ำหลายครั้งว่าการผลิต การเก็บ และการใช้อาวุธนิวเคลียร์นั้นเป็นที่ต้องห้ามภายใต้ศาสนาอิสลาม อิหร่านจึงไม่มีและไม่คิดจะมีอาวุธนิวเคลียร์
ประธานาธิบดีปูตินกล่าวสนับสนุนอิหร่านว่า IAEA “ไม่พบหลักฐานชี้ว่าอิหร่านมีหรือกำลังผลิตอาวุธนิวเคลียร์” และมีสิทธิใช้นิวเคลียร์เพื่อสันติ
ทุกวันนี้ทั้งรัฐบาลสหรัฐกับอิสราเอลต่างยอมรับว่าอิหร่านยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ข้อสรุปเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าอิหร่านไม่เป็นภัยคุกคาม เพราะเจ้าหน้าที่สหรัฐชี้ว่าอิหร่านสามารถสร้างอาวุธนิวเคลียร์ในไม่กี่สัปดาห์ บ้างวิเคราะห์ว่าสามารถผลิตนิวเคลียร์ถึง 5 ลูก ไม่ว่าเรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ข้อมูลจากสหรัฐระบุเช่นนั้น ที่สำคัญคือ การดำเนินนโยบายของรัฐบาลสหรัฐจะยึดข้อมูลของตัวเอง บางครั้งขัดกับข้อมูลของนานาชาติ แต่รัฐบาลสหรัฐไม่สนใจ
รวมความแล้วรัฐบาลอิสราเอลกับสหรัฐเห็นว่าโครงการนิวเคลียร์อิหร่านเป็นภัยคุกคาม (แม้ยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์) จึงชิงโจมตีก่อน ทำลายโครงการนิวเคลียร์อิหร่านหลายจุด
ประการที่ 2 WMD ของซัดดัม
รัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) ใช้หลักนิยม “ชิงลงมือก่อน” เพื่อเปิดฉากทำสงครามกับอิรัก อ้างว่ารัฐบาลซัดดัม ฮุสเซน สั่งสม WMD จำนวนมาก และมีประวัติใช้ WMD กับประชาชนตนเอง (ข้อหลังนี้เป็นความจริง รัฐบาลซัดดัมใช้อาวุธเคมีสังหารคนอิรักจำนวนมาก) ฝ่ายข่าวกรองสหรัฐอ้างว่าอิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ และอาจส่งมอบอาวุธนี้แก่ผู้ก่อการร้ายโจมตีสหรัฐ จึงเห็นว่าเป็นภัยคุกคามที่จวนตัว
ก่อนที่รัฐบาลบุชจะส่งกองทัพบุกอิรัก ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการโจมตีต่างประเทศก่อน บางคนเกรงว่าจะยิ่งเป็นเหตุให้ประเทศตกเป็นเป้าก่อการร้าย พันธมิตรหลายประเทศไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่ไม่อาจทัดทานการตัดสินใจของรัฐบาลบุช
หลังสงครามสิ้นสุด ระบอบซัดดัมล่มสลาย กระแสต่อต้านรัฐบาลสหรัฐพุ่งถึงขีดสุดเมื่อรัฐบาลบุชไม่สามารถแสดงหลักฐานว่ามี WMD ในอิรัก ขัดแย้งกับหลักนิยมชิงโจมตีก่อนที่ยึดเกณฑ์ “ภัยคุกคามจวนตัวนั้นมีจริง”
จะเห็นว่าการป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อนบางครั้งเป็นข้ออ้างเพื่อรุกราน แต่ในโลกแห่งความจริงก็เป็นเช่นนี้ หลักการที่ดีไม่ใช่หลักการที่สมบูรณ์ตามอุดมคติ บางครั้งถูกใช้อย่างบิดเบือนและไม่มีใครห้ามได้ โลกเป็นเช่นนี้
หากจะกระทำอย่างชอบธรรมจำต้องรับฟังความเห็นของนานาชาติก่อน กระทำอย่างเปิดเผย ดำเนินการเป็นขั้นตอน ยึดกติกาสากล วิธีนี้ช่วยให้ได้รับการสนับสนุนจากประชาคมโลก
ในระบบโลกอนาธิปไตย รัฐทั้งหลายจะให้ความสำคัญกับประเด็นความมั่นคงมากที่สุด โดยอาศัยอำนาจเป็นเครื่องมือ จึงจำต้องสร้างสมกำลังทหารเพื่อป้องกันประเทศ เพิ่มขยายอำนาจต่างๆ ที่จะส่งเสริมอำนาจรัฐ เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม เกียรติภูมิของชาติ ฯลฯ เพื่อความอยู่รอดของตน
การอยู่รอด รวมถึงการรุกรานประเทศอื่น ด้วยความเชื่อว่าวิธีการอยู่รอดที่ดีที่สุด คือการขยายอำนาจประเทศของตนให้มากที่สุด รวมถึงการบั่นทอนทำลายต่างชาติ
รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ตั้งอยู่บนหลักคิด “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) หมายถึงการบริหารประเทศที่ถือผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นที่ตั้ง แม้จะขัดแย้งประเทศอื่น ขัดแย้งศีลธรรม คุณธรรม ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า รัฐบาลทุกประเทศเป็นเช่นนี้ ที่ต้องบริหารประเทศเพื่อผลประโยชน์ของตน และรัฐบาลทรัมป์ทำจริงตามที่พูด มีหลักฐานมากมายปรากฎเป็นที่ประจักษ์
การป้องกันตัวเองด้วยการชิงโจมตีก่อนเป็นรูปธรรมหนึ่งของการใช้ทฤษฎีสัจนิยม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว



