ประเทศทั้งหลายจะระมัดระวังไม่ถูกคว่ำบาตร บางครั้งเพียงแค่คำขู่เท่านั้นก็อาจทำให้อีกฝ่ายยอมทำตามเงื่อนไข
การคว่ำบาตรคือพลังอำนาจแข็ง (Hard Power) หรือ coercive power คือความสามารถของประเทศหนึ่งที่ใช้อำนาจทางทหารและเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือบังคับประเทศอื่นจนบรรลุเป้าหมาย เป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะมีข้อดีดังนี้
ประการแรก ส่งสัญญาณไม่พอใจ
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีการสื่อสารอยู่เสมอทั้งทางตรงทางลับ การคว่ำบาตรมักใช้เพื่อยกระดับคำเตือน แสดงให้เห็นชัดว่าไม่พอใจ เป็นบทลงโทษ

ภาพ: กำแพงรั้วลวดหนามของเกาหลีใต้
เครดิตภาพ: https://www.koreatimes.co.kr/foreignaffairs/northkorea/20240605/south-korea-residents-on-border-with-north-fear-spike-in-tensions
ยกตัวอย่าง ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐคว่ำบาตรญี่ปุ่น เพื่อตอบโต้ที่ญี่ปุ่นขยายอิทธิพลและรุกรานประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะรุกรานจีนกับอินโดจีน ตั้งใจกดดันให้ญี่ปุ่นยุติการกระทำดังกล่าว และเพื่อลดทอนแสนยานุภาพทางทหาร ด้วยการยกเลิกสนธิสัญญาการค้า จำกัดส่งออกยุทธปัจจัย (พวกเหล็กกล้า น้ำมัน) และอายัดทรัพย์สินญี่ปุ่นในสหรัฐ
ชาติตะวันตกลดมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย หลังกลุ่ม Hay’et Tahrir al-Shams (HTS) โค่นล้มรัฐบาลชุดก่อนเมื่อปลายปี 2024 รัฐบาลสหรัฐกับพวกใช้การคว่ำบาตรกดดันให้รัฐบาลซีเรียชุดใหม่ดำเนินนโยบายที่สอดคล้องกับตน เตือนว่าจะโดนคว่ำบาตรหนักหากฝ่าฝืน
ตราบใดที่ปัญหายังอยู่ ตราบนั้นจะคว่ำบาตรต่อไป เช่น สหรัฐกับพวกคว่ำบาตรรัสเซีย บางกรณีคว่ำบาตรต่อเนื่องหลายทศวรรษ เช่น เกาหลีเหนือ อิหร่าน
บางครั้งใช้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือต่อรอง เช่น ขู่ตัดความช่วยเหลือและจะให้ความช่วยเหลือมากขึ้นถ้ายินยอมทำตาม ตามหลักให้รางวัลหรือลงโทษ (Carrot and Stick Policy)
ประการที่ 2 ประเทศให้ความสำคัญ
ประเทศทั้งหลายให้ความสำคัญกับการติดต่อสัมพันธ์กับชาติอื่นๆ การปิดประเทศไม่ติดต่อกับใครไม่ใช่นโยบายที่ดี เพราะตัดโอกาสที่จะพัฒนาโดยอาศัยความรู้ความก้าวหน้าของผู้อื่น ตัดโอกาสเศรษฐกิจเติบโตจากการค้าระหว่างประเทศ ได้รับประโยชน์จากสินค้าบริการมากมายทั่วโลก
มุมมองหรือท่าทีของนานาชาติจึงสำคัญ ต้องระวังไม่ทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หากนำสู่การถูกนานาชาติคว่ำบาตร เช่น หากประเทศหนึ่งคิดสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ละเมิดสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Non-Proliferation Treaty: NPT) จะเสี่ยงถูกนานาชาติคว่ำบาตร
ในมุมนี้การคว่ำบาตรจึงมีพลังอำนาจ ประเทศทั้งหลายจะระมัดระวังไม่ถูกคว่ำบาตร บางครั้งเพียงแค่คำขู่เท่านั้นก็อาจทำให้อีกฝ่ายยอมทำตามเงื่อนไข หรือผ่อนคลายความแข็งกร้าว
ประการที่ 3 หลีกเลี่ยงการปะทะด้วยอาวุธ
การใช้กำลังรบมักเป็นทางเลือกสุดท้าย ดีที่สุดคือตกลงกันได้โดยไม่มีใครเสียเลือดเนื้อ แต่เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมเจรจาหรือตกลงกันไม่ได้ จึงใช้วิธีคว่ำบาตรก่อนถึงจุดใช้วิธีสุดท้าย
ยกตัวอย่าง สหประชาชาติใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ เป็นมาตรการที่อยู่ตรงกลางระหว่างการทูตเจรจากับการใช้กำลังทหาร กล่าวคือ “เป็นเครื่องมือที่รุนแรงกว่าการประณาม แต่ไม่ถึงขั้นก่อสงคราม” เพื่อกดดันให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หลักคิดคือ การสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สูงพอ ที่จะบีบให้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและบรรทัดฐานระหว่างประเทศ
อำนาจในการคว่ำบาตรของ UN มาจากกฎบัตรสหประชาชาติ หมวดที่ 7 (Chapter VII) ซึ่งให้อำนาจแก่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ใช้มาตรการต่างๆ เพื่อจัดการภัยคุกคามต่อสันติภาพ
UNSC จะออกข้อมติและบางครั้งข้อมติจะระบุมาตรการคว่ำบาตรที่สมาชิกสหประชาชาติปฏิบัติตาม เช่น ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2397 (UNSC Resolution 2397) ควบคุมเกาหลีเหนือนำเข้าน้ำมันจากนานาชาติ โดย “จำกัดปริมาณอย่างเข้มงวด” การจำกัดน้ำมันคือกดดันเศรษฐกิจ กองทัพขาดน้ำมันที่จำต้องใช้ในการรบ เพื่อตอบโต้การทดสอบขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ของเกาหลีเหนือ
ในสมัยสงครามเย็น รัฐบาลสหรัฐเลือกใช้การปิดล้อมเป็นยุทธศาสตร์บั่นทอนบ่อนทำลายสหภาพโซเวียต การปิดล้อมนี้คือการคว่ำบาตรรุนแรง หรือ Embargoes ไม่ติดต่อค้าขาย ปิดล้อมทางทหาร การทูตและอื่นๆ เป้าหมายสุดท้ายคือล้อมระบอบสังคมนิยม
ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต ไม่ว่าจะใช้ถ้อยคำที่ดุดันแบบโดนัลด์ ทรัมป์ หรือนิ่มนวลแบบบารัค โอบามา นับจากสิ้นสงครามเย็นเป็นต้นมารัฐบาลสหรัฐใช้ยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน จะต่างกันเพียงวิธีการ ระดับความรุนแรง เหตุผลข้ออ้าง เช่น โอบามาเน้นเล่นงานประเด็นมนุษยชน ส่วนทรัมป์ชูประเด็นการค้าการลงทุนและการครอบงำทางเทคโนโลยี ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า มีข้อสังเกตว่าสหรัฐปิดล้อมเศรษฐกิจจีนหนักขึ้นทุกที
ประการที่ 5 ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
บางครั้งผู้คว่ำบาตรหวังได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เป็นเป้าหมายสำคัญข้อหนึ่งนอกเหนือจากเป้าหมายอื่น
ยกตัวอย่าง หลายปีแล้วรัฐบาลสหรัฐหวังให้อียูนำเข้าพลังงานอเมริกาแทนก๊าซรัสเซีย ก่อนสงครามยูเครนให้เหตุผลว่าหากเยอรมนีหรืออียูนำเข้าก๊าซจากรัสเซียเท่ากับพึ่งพาเศรษฐกิจการเมืองกับรัสเซียมากขึ้น อียูลังเลไม่อยากทำตามคำขอ เพราะต้นทุนก๊าซสหรัฐสูงกว่ามาก แต่เมื่อกองทัพรัสเซียบุกยูเครน กลายเป็นความจำเป็นที่ต้องคว่ำบาตรรัสเซีย หนึ่งในมาตรการหลักคือเลิกนำเข้าพลังงาน และสหรัฐคือประเทศที่ได้ประโยชน์จากการนี้เต็มๆ แม้ราคาพลังงานสหรัฐจะสูงกว่ามากก็ตาม
มีข้อมูลว่านับจากสหรัฐพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สามารถผลิต shale gas จำนวนมหาศาลจนต้องหาทางส่งออก (LNG เป็นผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งของ shale gas) แต่ติดปัญหาการขนส่งที่เป็นต้นทุนสำคัญ จึงส่งออกไม่ได้ บัดนี้การคว่ำบาตรช่วยให้สหรัฐมีลูกค้ารายใหญ่ที่ซื้อใช้พลังงานฟอสซิลของตนแล้ว
กรณีนี้อาจตีความว่าเพื่อให้กองทัพรัสเซียถอนกำลังกลับไป หรือเพื่อขายสินค้า หรือ 2 เรื่องพร้อมกัน เป็นประเด็นที่ถกแถลงได้ ตราบใดที่อียูมองว่ารัสเซียเป็นศัตรูย่อมต้องนำเข้าพลังงานจากสหรัฐต่อไป
ประการที่ 6 ผลประโยชน์การเมืองระหว่างประเทศ
การคว่ำบาตรเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศ กดดันให้ประเทศทั้งหลายยอมทำตามข้อเรียกร้อง บ่อยครั้งแค่คำขู่เท่านั้นอีกฝ่ายก็ยอมโดยดี จึงเป็นเครื่องมือที่มักใช้เป็นลำดับต้นๆ เช่น ขู่จะคว่ำบาตรสินค้าบริการ
ควรเข้าใจว่าการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจหรือยึดหลักเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่มีมิติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เปิดตลาดให้กันหรือจำกัดรายการสินค้าตามความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวถึงภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) ที่สหรัฐประกาศจัดเก็บนานาประเทศว่า “ภาษีเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลง ขึ้นหรือลง ขึ้นกับความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน”
ทรัมป์ 2.0 ใช้กำแพงภาษีเพื่อนำประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจาต่อรองในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่การค้าเศรษฐกิจ เช่น ให้ซื้ออาวุธสหรัฐมากขึ้น ให้ถอยห่างจากจีน รัสเซีย ฯลฯ เป็นแนวทางเดียวกับไบเดน ที่รวมการค้าระหว่างประเทศเข้ากับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ถ้ายึดมุมมองสหรัฐ น่าชื่นชมรัฐบาลทรัมป์พยายามรักษาและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศตัวเอง ตามหลัก ‘America First’ ขึ้นภาษีนำเข้าหลายสิบประเทศทั่วโลก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนพูดถึงวาระซ่อนเร้นที่มากับกำแพงภาษี ผูกโยงการค้าขายของเอกชนเข้ากับการเมืองระหว่างประเทศ เช่น กดดันให้นานาชาติช่วยกันต้านจีน โดดเดี่ยวรัสเซีย หรือแม้กระทั่งใช้กำแพงภาษีเพื่อบ่อนทำลายประเทศอื่นอย่างเช่นแคนาดา ไม่ว่านานาชาติจะเห็นด้วยหรือไม่ รัฐบาลทรัมป์พยายามทำเพื่อประเทศตนเอง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว


