
ในปี พ.ศ.2568 ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวหลักของประเทศ ปริมาณฝนที่ตกหนักกว่าค่าเฉลี่ยในหลายจังหวัด ประกอบกับการระบายน้ำที่ล่าช้า ทำให้พื้นที่การเกษตรจำนวนมากจมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระดับครัวเรือนของเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม รายได้ของชาวนาในหลายพื้นที่ลดลงอย่างมาก ขณะที่ต้นทุนการฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูกกลับเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การสูญเสียผลผลิตข้าวจำนวนมากยังส่งผลให้ราคาข้าวในประเทศผันผวน และอาจกระทบต่อปริมาณการส่งออกข้าวไทยในตลาดโลก ซึ่งเป็นรายได้สำคัญของประเทศ
ก่อนหน้านี้ วิจัยกรุงศรี (Krungsri Research) ได้เผยรายงานวิเคราะห์แนวโน้มอุทกภัยปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าผลกระทบของอุทกภัยในปี 2568 ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เมื่ออุทกภัยสามารถสร้างความเสียหายได้หลายรูปแบบ ทั้งต่อสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน โรงงาน เครื่องจักร ยานพาหนะ เส้นทางคมนาคม และสัตว์เศรษฐกิจต่างๆ ขณะที่พืชเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบตามปริมาณน้ำและความแรงของกระแสน้ำที่ไหลผ่านพื้นที่ โดยหากระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและระบายได้เร็ว ก็จะไม่ก่อความเสียหายโดยสิ้นเชิงแก่พืชบางประเภท แต่มวลน้ำที่ไหลแรงและขังในระดับสูงติดต่อกันหลายวันจะสร้างความเสียหายแก่พืชประเภทข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิ อ้อย มันสำปะหลัง รวมถึงพืชสวนและพืชไร่ต่างๆ เป็นอย่างมาก และจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงส่งผลต่อระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นจากปัญหาอุปทานที่ขาดแคลนได้
ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีได้ประเมินพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากอุทกภัยทั้งปี 2568 ภายใต้การจำลองสถานการณ์ 3 ฉากทัศน์ และประเมินผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดังนี้ กรณีดีที่สุด (Best case) หรือกรณีที่เกิดความเสียหายน้อยสุด จะมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 7.4 ล้านไร่ มูลค่าทรัพย์สินเสียหาย 2.8 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 1.54 หมื่นล้านบาท คิดเป็นความเสียหายรวม 1.82 หมื่นล้านบาท หรือราว -0.10% ของจีดีพี, กรณีฐาน (Base case) มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 9.5 ล้านไร่ มูลค่าทรัพย์สินเสียหาย 3.7 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 1.99 หมื่นล้านบาท คิดเป็นความเสียหายรวม 2.36 หมื่นล้านบาท หรือราว -0.13% ของจีดีพี
และ กรณีเลวร้ายที่สุด (Worst case) มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 11.7 ล้านไร่ มูลค่าทรัพย์สินเสียหาย 4.5 พันล้านบาท ขณะที่มูลค่าผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 2.45 หมื่นล้านบาท คิดเป็นความเสียหายรวม 2.9 หมื่นล้านบาท หรือราว -0.16% ของจีดีพี
โดยตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ค.2568 ประเทศไทยเผชิญมรสุมและร่องมรสุมที่พัดผ่านประเทศ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดอุทกภัยในบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 31 ก.ค.2568 มีพื้นที่ประสบอุทกภัยรวม 29 จังหวัด และเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว 20 จังหวัด (ณ วันที่ 31 ก.ค.) และยังคงมีอีก 9 จังหวัดที่ยังเผชิญอุทกภัยอยู่ โดยในช่วง 30 วันที่ผ่านมา (30 มิ.ย.-29 ก.ค.2568) มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 0.9 ล้านไร่ และบ้านเรือนได้รับผลกระทบจำนวน 7,483 หลังคาเรือน พื้นที่ทำการเกษตรที่เสียหาย ได้แก่ พื้นที่ปลูกข้าวที่เสียหาย 3.3 แสนไร่ รองลงมาเป็นพืชไร่และพืชผัก 46,274 ไร่ และไม้ผล ไม้ยืนต้น และอื่นๆ 13,738 ไร่
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมในปี 2568 สร้างความเสียหายต่อข้าวนาปีราว 5.21 พันล้านบาท โดยปริมาณฝนในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.2568 เพิ่มขึ้น 5.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 264 มิลลิเมตรต่อเดือน เนื่องจากสภาวะลานีญา ประกอบกับอาจเกิดพายุ 2-3 ลูก ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ขณะที่ผลผลิตข้าวนาปีเกือบทั้งหมดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เพราะตรงกับฤดูเก็บเกี่ยว ทำให้คาดว่าจะมีพื้นที่ข้าวนาปีได้รับผลกระทบราว 1.85 ล้านไร่ และมีผลผลิตเสียหาย 4.8 แสนตัน พร้อมทั้งยังต้องจับตาน้ำท่วมช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ที่จะกระทบผลผลิตยางพาราและปาล์มน้ำมันในภาคใต้.
ครองขวัญ รอดหมวน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส
‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม
ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม
ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด
ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้
จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสงขลา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งพื้นที่เมืองและชนบท ส่งผลให้หลายหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งวางมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ทั้งการฟื้นฟูถนน–สะพานที่ถูกตัดขาด การขุดลอกคูคลอง
เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย
ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด

