
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางจากความไม่แน่นอนด้านพลังงาน ราคาน้ำมันที่ผันผวน และแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ การบริหารจัดการพลังงานจึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลต้องใช้เพื่อพยุงกำลังซื้อของประชาชนและกระตุ้นระบบเศรษฐกิจให้เดินหน้าอย่างยั่งยืน ท่ามกลางบริบทดังกล่าว กระทรวงพลังงานจึงประกาศเดินหน้านโยบาย “Quick Big Win-กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” เพื่อเร่งสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ทั้งในด้านการลดภาระค่าครองชีพและการสร้างการลงทุนใหม่กว่า 5 หมื่นล้านบาททั่วประเทศ
โดยภายใต้แผนนโยบาย “Quick Big Win” กระทรวงพลังงานได้ออกมาตรการนำร่อง 4 โครงการหลัก ที่สามารถดำเนินการได้ทันภายในเดือน พ.ย.นี้ โดยแต่ละโครงการมุ่งเน้นการกระจายประโยชน์ลงสู่ระดับชุมชน เกษตรกร และภาครัฐอย่างทั่วถึง
โซลาร์ฟาร์มชุมชน-ขับเคลื่อนพลังงานสะอาดสู่ท้องถิ่น มีเป้าหมายรวม 1,500 เมกะวัตต์ โดยเปิดให้ภาคเอกชนลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อขายไฟให้กับชุมชนใกล้เคียงผ่านการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ด้วยราคาลดพิเศษราว 80 สตางค์ต่อหน่วย คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้เกือบ 1 ล้านตันต่อปี และสร้างงานกว่า 1,700 ตำแหน่ง โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร-เพิ่มรายได้และลดต้นทุนเกษตรกร โครงการนี้ใช้งบลงทุนกว่า 12,000 ล้านบาท ติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 1,200 ระบบทั่วประเทศ ช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเพิ่มรายได้เฉลี่ย 5,800 บาทต่อไร่ต่อปี
โซลาร์รูฟท็อปในบ้านเรือน-พลังงานสะอาดในชีวิตประจำวัน รัฐบาลเตรียมออกมาตรการลดหย่อนภาษีสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคา คาดว่าจะดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 10,800 ล้านบาท และลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 280,000 ตันต่อปี โซลาร์หน่วยงานภาครัฐ-ลดงบประมาณภาครัฐ เพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน หน่วยงานของรัฐจะสามารถผลิตและใช้ไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ภายในพื้นที่ของตนเอง ทำให้ลดงบค่าสาธารณูปโภค (ค่าไฟฟ้า) ได้กว่า 9,000 ล้านบาทต่อปี
มาตรการทั้ง 4 นี้ถือเป็น “แพ็กเกจเร่งด่วน” ที่มีจุดแข็งคือสามารถเริ่มได้ทันที และส่งผลเชิงบวกทั้งในระดับเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นให้เอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจพลังงานคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy)
นอกจากโครงการพลังงานสะอาด กระทรวงพลังงานยังขยับในด้าน “พลังงานปิโตรเลียม” เพื่อดูแลค่าครองชีพของประชาชนอย่างทันท่วงที โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติให้ปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์/ลิตร และน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์/ลิตร มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค.2568 สาเหตุสำคัญมาจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับลดลง โดยราคาดูไบอยู่ที่ 61.32 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และแนวโน้มอุปทานส่วนเกินในตลาดโลกจากกลุ่ม OPEC+ ที่เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง นโยบายดังกล่าวสะท้อนถึงการใช้จังหวะตลาดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
เมื่อพิจารณาในภาพรวม นโยบาย “Quick Big Win” เป็นการผสมผสานระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและการสร้างฐานพลังงานสะอาดระยะยาวอย่างชัดเจน โครงการโซลาร์ต่างๆ จะช่วยสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 50,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันก็ช่วยยกระดับความมั่นคงทางพลังงาน ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้า และลดการปล่อยคาร์บอนในระยะยาว
ในด้านสังคม ประชาชนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากค่าไฟฟ้าที่ลดลง เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง ครัวเรือนมีโอกาสติดตั้งพลังงานสะอาดในราคาที่เข้าถึงได้ และภาครัฐสามารถประหยัดงบประมาณได้หลายพันล้านบาทต่อปี
นโยบาย “Quick Big Win” จึงไม่ใช่เพียงมาตรการเร่งด่วน แต่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านระบบพลังงานไทยไปสู่ความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายสองด้านที่ชัดเจน “ลดภาระวันนี้ สร้างความมั่นคงวันหน้า” หากสามารถดำเนินการได้ตามแผนจะช่วยเสริมเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางพลังงานสะอาดของภูมิภาคได้อย่างแท้จริง.
ณัฐวัฒน์ หาญกล้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน
ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส
‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม
ดันไทย-ญี่ปุ่นปักธงอุตสาหกรรม
ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และเป้าหมายด้านความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม ความสามารถของประเทศในการปรับตัวและสร้างพันธมิตรที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไปสู่ยุคใหม่ที่เน้นมูลค่าสูงและมาตรฐานที่เข้มงวด
ถอดบทเรียนน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้
จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสงขลา สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งพื้นที่เมืองและชนบท ส่งผลให้หลายหน่วยงานภาครัฐต้องเร่งวางมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน ทั้งการฟื้นฟูถนน–สะพานที่ถูกตัดขาด การขุดลอกคูคลอง
เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย
ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด

