ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
การประท้วง “No Kings” (ไม่เอาเจ้า) น่าสนใจเพราะรวมคนอเมริกันหลายล้าน คนเหล่านี้มาจากหลายสาขาอาชีพ จากกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายและกลุ่มหัวก้าวหน้ากว่า 200 องค์กรทั่วประเทศ แกนนำหลักคือ “Indivisible” เครือข่ายองค์กรภาคประชาชนระดับรากหญ้า นอกจากนี้ยังมีแนวร่วมสำคัญอื่นๆ เช่น สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (American Civil Liberties Union: ACLU) กลุ่มสิทธิผู้บริโภค Public Citizen สหภาพแรงงานครู (American Federation of Teachers) กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน Human Rights Campaign กลุ่ม MoveOn และ United We Dream

ภาพ: การ์ตูนประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจเยี่ยงราชา
เครดิตภาพ: ปัญญาประดิษฐ์.
การประท้วงเกิดตั้งแต่ทรัมป์สมัยแรก การดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ยังเป็นประเด็นเดิม เฉพาะปี 2025 ชุมนุมใหญ่ครั้งแรกเมื่อมิถุนายนในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 79 ปีของโดนัลด์ ทรัมป์ มีผู้เข้าร่วมหลายล้านคนในกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ
ตุลาคม 2025 จัดขึ้นทั่วทั้ง 50 รัฐ ในเมืองใหญ่และเมืองเล็กกว่า 2,500 แห่ง มีผู้เข้าร่วมหลายล้านคนเช่นกัน โดยใส่เสื้อผ้าสีเหลือง
น่าชื่นชมว่าเป็นการชุมนุมประท้วงโดยสงบ ทางการเฝ้าระวังเหตุร้ายอย่างดี
ที่มาของ “No Kings” กับ “Presidential King”:
รากฐานสโลแกน “No Kings” (ไม่เอาเจ้า) มาจากประวัติศาสตร์ปฏิวัติอเมริกาเมื่อปี ค.ศ.1776 ประกาศอิสรภาพจากราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ (ในที่นี้ขอใช้คำว่าอังกฤษ) ตรงกับสมัยกษัตริย์จอร์จที่ 3 (George III) ผู้ประท้วงใช้สโลแกนนี้เพื่อเชื่อมโยงพฤติกรรมของทรัมป์กับแนวคิดการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่คนอเมริกันต่อต้านจนแยกตัวออกเป็นประเทศ
ตอกย้ำว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศประชาธิปไตยที่อำนาจผู้ปกครองถูกจำกัดโดยรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบราชาอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งบัดนี้กำลังถูกสั่นคลอนด้วยรัฐบาลทรัมป์
ผู้ร่วมชุมนุมต้องการชี้ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่ราชา” อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
ตั้งแต่ทรัมป์สมัยแรก มีคนเอ่ยถึงทรัมป์ด้วยคำว่า “Presidential King” (ประธานาธิบดีที่ใช้อำนาจเยี่ยงราชา) ชี้ว่าประธานาธิบดีในระบอบประชาธิปไตยมีพฤติกรรมหรือใช้อำนาจราวกับว่าตนเองเป็นกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้นำที่มองว่าตนเองอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ผูกมัดด้วยรัฐธรรมนูญ และคาดหวังความภักดีจากทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข
ลักษณะสำคัญของ “Presidential King”:
ในกรณีของทรัมป์
1) ใช้อำนาจเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญ
ตั้งแต่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ก็ถูกวิพากษ์ว่ามักใช้อำนาจเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญ มีพฤติกรรมยึดว่าตนมีอำนาจสูงสุด โดยไม่เคารพหลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) และพยายามก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายตุลาการ เช่น ใช้คำสั่งบริหารของประธานาธิบดี (Executive Order) เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายที่ผ่านสภา ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อเป้าหมายทางการเมือง
พยายามให้ประธานาธิบดีมีอำนาจทางทหารมากขึ้น เช่น ให้กองทัพจัดสวนสนามในวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งตรงกับวันเกิดของทรัมป์และวันครบรอบของกองทัพบกสหรัฐ ถูกวิจารณ์ว่านำทหารมาข้องเกี่ยวกับการเมือง การส่ง national guard เข้าหลายเมืองหลายรัฐที่ถูกวิพากษ์ว่าไม่จำเป็น
เหตุสั่งให้กองทัพล่าสังหารเรือของพ่อค้ายาเสพติดข้ามชาติเป็นประเด็นล่าสุด ที่ถูกชี้ว่าผิดกฎหมาย วุฒิสมาชิก Mark Warner ถึงกับพูดว่าประธานาธิบดี “บ่อนทำลายประชาธิปไตยของเรา” แต่ทรัมป์ไม่สนใจ ยังเดินหน้าใช้วิธีนี้ต่อไป
ตามรัฐธรรมนูญประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหาร และมีอำนาจพิเศษในบางกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ แต่ทั้งหมดต้องอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ ทรัมป์พยายามยึดว่าประธานาธิบดีมีอำนาจสูงสุดเหนือทุกอำนาจ อ้างเหตุผลทำเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
2) มองว่าตนอยู่เหนือกฎหมาย
หลายนโยบายของทรัมป์หมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย พยายามใช้อำนาจเกินตัว ไม่เหมาะกับสถานการณ์ นโยบายภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็นอีกประเด็นที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาล
แสดงท่าทีว่ากฎหมายที่ใช้กับพลเมืองทั่วไปไม่สามารถนำมาใช้กับตนเอง ประธานาธิบดีมีสิทธิพิเศษ พยายามใช้สิทธิพิเศษกับคดีความของตนทั้งที่เกิดในกับนอกช่วงดำรงตำแหน่ง พยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อปกป้องตนเองและพวกพ้อง
3) เรียกร้องความภักดีส่วนบุคคล
ตามกฎหมาย ประธานาธิบดีบัญชาการตามสายงาน ขอบเขตกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทุกนาย ลูกจ้างรัฐทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย จงรักภักดีต่อประเทศอเมริกาที่เป็นของคนอเมริกัน
ทรัมป์คาดหวังให้เจ้าหน้าที่รัฐ สมาชิกพรรค แม้กระทั่งกองทัพ ให้ภักดีต่อตัวเขาเป็นการส่วนตัว มากกว่าภักดีต่อรัฐธรรมนูญหรือประเทศชาติ ใครไม่ภักดีจะถูกมองว่าเป็นศัตรู
4) โจมตีสถาบันตรวจสอบอำนาจ
มักโจมตีหรือลดทอนความน่าเชื่อถือสถาบันเสาหลักประชาธิปไตย เช่น สื่อมวลชน ระบบยุติธรรม และหน่วยงานข่าวกรองที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกับความต้องการของตน
ทรัมป์พูดว่าสื่อมวลชนเป็นศัตรูของประชาชน ระบบศาลยุติธรรมต่อต้านประธานาธิบดี กระบวนการเลือกตั้งไม่โปร่งใส (ทรัมป์ยืนยันการเลือกตั้งปี 2020 ตนแพ้เพราะถูกโกงอย่างเป็นระบบ ฝ่ายทรัมป์ฟ้องหลายศาลหลายรัฐ ได้คำตอบว่าการเลือกตั้งมีความผิดพลาดบ้าง แต่เป็นความผิดพลาดทางเทคนิค คะแนนที่คลาดเคลื่อนไม่มีผลต่อแพ้ชนะ ถึงกระนั้นทรัมป์ยืนยันว่าตนแพ้เพราะโดนโกง)
5) ไม่ยอมรับความเห็นต่าง
ระบอบประชาธิปไตยเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นหลากหลาย แต่ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคือการโจมตีส่วนบุคคล กระทั่งชี้ว่าความเห็นต่างคือการทรยศชาติ
ทรัมป์ตีความว่าใครที่คิดเห็นต่างนั้นผิดหมด ตนถูกต้องที่สุดแล้ว บางคนที่เห็นต่างเพราะมุ่งเล่นงานทางการเมือง
มกราคม 2017 ทรัมป์กล่าวว่าสื่อส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ได้ (dishonesty) จอมปลอม (deceit) และหลอกลวง (deception) ทำตัวคล้ายพรรคฝ่ายค้าน สื่อไม่ยุติธรรมต่อตน ตีตราว่าตนเป็นฝ่ายผิดตั้งแต่ต้น
อีกหลักฐานที่ชี้ชัดคือทรัมป์มักจะปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เห็นว่าไม่ภักดีต่อตน กระทั่งคิดเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System) นักกฎหมายส่วนใหญ่คิดว่าประธานาธิบดีไม่น่าจะมีอำนาจปลดประธาน Fed เพียงเพราะไม่เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาล (เช่น การขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย) แต่ด้วยทรัมป์เห็นว่าประธาน Fed คนปัจจุบันไม่ทำตามความต้องการ จึงพยายามกดดันครั้งแล้วครั้งเล่า
ในอีกมุมตีความว่า ในฐานะผู้นำประเทศอยากให้ทุกหน่วยงาน (แม้กระทั่งองค์กรอิสระ) สนับสนุนนโยบายรัฐบาล ร่วมกันเอาชนะความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่กำลังประสบปัญหาขาดดุลการค้าการคลัง แต่ข้อนี้ถูกวิพากษ์ว่าเสียการถ่วงดุล อันตรายมากหากผู้นำประเทศนำผิดทิศผิดทาง
ผลโพลครั้งแล้วครั้งเล่าสรุปว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่คิดว่ารัฐบาลไปผิดทิศผิดทาง
6) ลัทธิบูชาตัวบุคคล (Cult of Personality)
ทรัมป์จะพยายามสร้างบรรยากาศที่ยกย่องเชิดชูตนเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ไร้ที่ติ ความสำเร็จของชาติขึ้นอยู่กับตัวเขาเพียงคนเดียว มักชี้ผู้นำคนอื่นพรรคอื่นแย่ (เพื่อสะท้อนว่าตัวเองดี) แต่ละนโยบายจะบอกว่าได้ผลดีที่สุด ดีที่สุดในรอบร้อยปี ฯลฯ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขาเป็นประธานาธิบดี
พวกที่ต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันควรเข้าใจว่าทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง การประท้วง “No Kings” จึงเป็นการแสดงออกตามหลักประชาธิปไตย ส่วนในอนาคตสหรัฐจะกลายเป็นอำนาจนิยมหรือไม่ เป็นเรื่องน่าติดตาม เพราะจะส่งผลต่อนานาชาติ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว
เมื่ออินเดียไม่ยอมรับเงื่อนไขการค้าทรัมป์
แค่สัมพันธ์กับจีนดีขึ้น ชายแดนลดความตึงเครียด รัฐบาลปูตินหวังร่วมมือมากขึ้น เพิ่มอำนาจต่อรองอียู แค่นี้น่าจะคุ้มค่าแล้ว เหนือกว่าภาษี 50% ของทรัมป์



