ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย

ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า หรือการนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์เพื่อพัฒนากลยุทธ์ให้แม่นยำยิ่งขึ้น ความสามารถในการปรับตัวไม่ได้หมายถึงแค่การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เท่านั้น แต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและกระบวนการทำงานขององค์กรให้ทันต่อแนวโน้มของตลาด การปรับตัวที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนและพร้อมเติบโตในทุกสถานการณ์ ดังนั้นการมีข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ และ AI จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น

โดยข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ปัจจุบันธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยกำลังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้รวมมีทิศทางเติบโตเฉลี่ย 11.1% ต่อปี ความต้องการบริการจัดเก็บข้อมูลในไทยส่วนใหญ่ราว 95% มาจากองค์กรธุรกิจเอกชน โดยเติบโตตามความเปลี่ยนแปลงในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจ ทั้งเพื่อการวางแผนและการเข้าถึงลูกค้า โดยเฉพาะในปัจจุบันที่หลายองค์กรธุรกิจไทยเริ่มทดลองและนำเทคโนโลยี AI มาใช้ ส่งผลให้ปริมาณข้อมูลที่ต้องประมวลผลและจัดเก็บขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มสูงขึ้น

และยังพบว่า ปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะขนาดกลางและขนาดเล็ก หันมาเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกแทนการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์เอง ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรและเงินลงทุนสูง ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และเทคโนโลยี สำหรับปี 2569 คาดว่าตลาดบริการดาต้าเซ็นเตอร์จะมีสัดส่วนสูงถึง 47.2% ของมูลค่าตลาดโดยรวม นอกจากนี้องค์กรธุรกิจยังเลือกใช้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ควบคู่ไปกับบริการจัดเก็บข้อมูล ทั้งนี้ในปี 2568 องค์กรไทยกว่า 68% (เฉลี่ยโลก 46%) ได้นำ AI มาใช้แล้ว และมากกว่า 90% มีแผนจะนำมาใช้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งรายได้รวมธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยราว 73% มาจาก 3 ตลาดหลัก ได้แก่ ภาคการเงินที่มีสัดส่วนตลาดสูงสุดราว 29% รองลงมาคือ ภาคค้าส่งและค้าปลีก 25% เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้จ่ายออนไลน์เพิ่มขึ้น และภาคบริการสุขภาพ 19% ซึ่งเป็นการเติบโตตามกระแสรักสุขภาพและการเข้าสู่สังคมสูงอายุ

แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์จะมีความสำคัญกับภาคธุรกิจทั่วไปแต่ก็ยังมีความเสี่ยง ซึ่ง ธีระภูมิ วุฒิปราโมทย์ นักวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ความเสี่ยงของธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ไทยในระยะกลางถึงยาว ได้แก่ การบังคับใช้ พ.ร.บ. Climate Change ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจกดดันให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ต้องหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาลในการประมวลผลข้อมูล โดยดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับหลายแสนครัวเรือนต่อปี ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะอยู่ในระดับสูงหากต้องพึ่งพาไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ

โครงการ Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) หรือการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้า กับผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อเข้าถึงพลังงานสะอาดยังอยู่ในช่วงทดลองและมีปริมาณจำกัด จึงอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนด้านต้นทุน และความน่าเชื่อถือของแหล่งไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ไม่สามารถวางแผนด้านพลังงานระยะยาวได้, การเข้าถึงน้ำที่เพียงพอและต่อเนื่อง เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์จำเป็นต้องใช้น้ำปริมาณมาก สำหรับระบบระบายความร้อนของเซิร์ฟเวอร์ (Cooling Systems) หากตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านน้ำอาจกระทบต่อการดำเนินงาน อีกทั้งการใช้น้ำในปริมาณสูงยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และอาจนำไปสู่ข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ยังพบว่า การแข่งขันของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาคทวีความรุนแรงขึ้น โดยผู้ให้บริการไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากประเทศคู่แข่งอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน, ปัญหาขาดแคลนแรงงานดิจิทัลขั้นสูง เป็นความท้าทายต่อธุรกิจบริการดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ไทยยังผลิตบุคลากรเหล่านี้ไม่เพียงพอ สะท้อนจากการที่ผู้ลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ข้ามชาติริเริ่มโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับบุคลากรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานที่ยังสูงกว่าที่มีในตลาด

รวมถึง เทคโนโลยีด้านวิเคราะห์ข้อมูลโดยเฉพาะ AI และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไว ทำให้ผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์มีความจำเป็นต้องติดตามและลงทุนเพิ่มเติมเพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการอยู่เสมอ การลงทุนดต้าเซ็นเตอร์ต้องพิจารณาถึง Internet Bandwidth ที่สามารถรองรับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของปริมาณข้อมูลที่ต้องเชื่อมต่อเข้ามาจัดเก็บในอนาคต ทำให้สถานที่ตั้งของดาต้าเซ็นเตอร์ต้องอยู่ใกล้ชุมสายอินเทอร์เน็ต และ การรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตีทางไซเบอร์ อาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของทั้งผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์และลูกค้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ ทำให้ต้องมีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม แม้ดาต้าเซ็นเตอร์จะมีความเสี่ยง แต่การมีข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำจึงมีความสำคัญ เพราะธุรกิจที่สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า.

 

บุญช่วย ค้ายาดี

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร

ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย

ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด

เจาะลึกเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย

ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันของ 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ Shopee 89%, TikTok Shop 71% และ Lazada 66% โดย 87% ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน

เสริมความมั่นคงสุขภาพไทย

อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จังหวะใหม่ที่น่าสนใจ และสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP/BiPAP

อัปเกรดมาตรฐานความปลอดภัย

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และพันธมิตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เปิดตัวความพร้อมโครงการ “Trusted Thailand” อย่างเป็นทางการ

คนละครึ่งพลัส….สุดคึกคัก

คนละครึ่งพลัส…นับว่าเป็นมาตรการที่สร้างความคึกคักให้กับพ่อค้าแม่ค้าอย่างมาก ซึ่งแว่วๆ ว่าจะมีคนละครึ่งพลัสเฟส 2 อีกด้วย โดยนอกเหนือจากหน้าร้านแล้ว แอปสั่งอาหารก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน