ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
Global Firepower (GFP) เป็นองค์กรอิสระจัดอันดับความแข็งแกร่งและศักยภาพทางทหารแบบดั้งเดิม (Conventional Fighting Capability) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก (145 ประเทศ) GFP ข้อมูลที่นำเสนอเป็นข้อมูลปี 2025
เป้าหมายหลักคือ จัดลำดับแสนยานุภาพทางทหารของชาติต่างๆ โดยระบบคำนวณที่ชื่อ PowerIndex (PwrIndx) ซึ่งพิจารณาจากปัจจัยกว่า 60 รายการในหลายหมวดหมู่ เพื่อกำหนดคะแนน PowerIndex (PwrIndx) ของแต่ละประเทศ

ภาพ: Global Firepower (GFP)
เครดิตภาพ: ปัญญาประดิษฐ์
ค่า PwrIndx ต่ำ หมายถึง ศักยภาพการรบแบบดั้งเดิมของประเทศนั้นสูง
สิ่งที่ GFP ไม่ได้ประเมิน คือ เจตนา (Intent) นโยบายต่างประเทศ และทัศนคติของรัฐบาลต่อการทำสงคราม
นอกจากนี้ PwrIndx จะไม่รวมอาวุธนิวเคลียร์ ในระยะหลังนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาคำนวณด้วย
4+4 ประเทศสำคัญ:
ตามดัชนีของ Global Firepower (GFP) 4 ประเทศที่ครองพลังอำนาจทางทหารสูงสุดเรื่อยมาคือ สหรัฐ รัสเซีย จีนและอินเดีย เพราะนโยบายกับทรัพยากรของประเทศเหล่านี้เอื้อและจำต้องสร้างกองทัพขนาดใหญ่
3 ลำดับแรกคือ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน มีคะแนนใกล้เคียงกันมาก คือ 0.0744, 0.0788, 0.0788 (รัสเซียกับจีนได้คะแนนเท่ากัน) อินเดียตามมาเป็นลำดับ 4 ด้วยคะแนน 0.1184 (คะแนนยิ่งต่ำยิ่งดี)
สหรัฐอเมริกาครองอันดับ 1 ในการจัดอันดับของ GFP ต่อเนื่อง มีขีดความสามารถทางทหารสูงที่สุด งบประมาณกลาโหมมหาศาล เทคโนโลยีกองทัพล้ำสมัย มีฐานทัพทั่วโลก กองทัพอากาศเข้มแข็งที่สุดในโลก กองเรือบรรทุกเครื่องบินทำให้สหรัฐเหนือกว่าคู่แข่งทั้งหมด สามารถส่งกองทัพสู่ทุกจุดในโลกนี้
รัสเซียขึ้นชื่อเรื่องเหนือกว่าด้านนิวเคลียร์กับขีปนาวุธ มีกำลังพลถึง 3,570,000 นาย แม้รัสเซียจะสูญเสียในสงครามยูเครน แต่ยังรักษาตำแหน่งมหาอำนาจทางทหารอันดับต้นๆ ของโลกไว้ได้ พิสูจน์แล้วว่าสามารถผลิตอาวุธสนับสนุนสงครามยืดเยื้อ
กองทัพจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว งบประมาณกลาโหมสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ราว 267,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลบางแหล่งสูงถึง 314,000 ล้านดอลลลาร์) มีเครื่องบินรบสเตลท์อย่าง J-20 กับ J-35 ขีปนาวุธต่อต้านเรือบรรทุกเครื่องบิน DF-21D กับ DF-26 ซึ่งได้รับสมญาว่า “Carrier-Killer” นอกจากนี้เชื่อว่าจีนเชี่ยวชาญสงครามหลายมิติ (Multi-Domain Warfare) ประกอบด้วยด้านไซเบอร์ อวกาศ (Space) และสงครามข้อมูลข่าวสาร
แม้กองทัพจีนขาดประสบการณ์การรบจริงในระดับใหญ่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาวุธสมัยใหม่ ชี้ว่ากองทัพจีนน่าเกรงขาม
อินเดียผู้ครองตำแหน่งลำดับ 4:
อินเดียเป็นกรณีที่น่าสนใจ ครองตำแหน่งลำดับที่ 4 เรื่อยมา พยายามวางตัวไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (Non-Aligned Movement: NAM) ตามที่อินเดียยึดมั่นตั้งแต่สงครามเย็น ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจตีความว่าอินเดียพยายามเป็นมิตรกับมหาอำนาจทั้งสหรัฐ รัสเซียและจีน มีความร่วมมือคู่ความขัดแย้ง
อินเดียเป็นประเทศที่รัฐบาลสหรัฐต้องการดึงมาเป็นพวก สำคัญต่อสมดุลอำนาจ การปิดล้อมจีนตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก สหรัฐหวังกระชับความสัมพันธ์ทางการทหารเพื่อต้านจีน ขายอาวุธแก่อินเดีย
ในมุมใกล้ชิดสหรัฐ อินเดียอยู่ในกลุ่ม Quad (Quadrilateral Security Dialogue) อันประกอบด้วยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่นและอินเดีย ทั้ง 4 ประเทศล้วนมีอิทธิพลอำนาจสูง ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า Quad คือกลไกหนึ่งของยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้าของสหรัฐ สกัดกั้นอิทธิพลจีนที่กำลังก้าวขึ้นมา
ในอีกด้าน อินเดียกระชับสัมพันธ์รัสเซียกับจีน
ยกตัวอย่าง กรกฎาคม 2024 นเรนทร โมที (Narendra Modi) นายกฯ อินเดียเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ กล่าวกับปูตินว่าอยากเห็นสงครามยูเครนยุติ สนับสนุนโลกพหุภาคีที่สหรัฐยังเป็นผู้นำอยู่
ความร่วมมือที่สำคัญคือ อินเดียเป็นสมาชิกสำคัญของ BRICS ที่หวังสร้างโลกพหุภาคี ต่อต้านสหรัฐชัดเจน
อาจตีความว่ารัฐบาลอินเดียยึดผลประโยชน์แห่งชาติ มีความสัมพันธ์ดีกับทุกฝ่าย พยายามเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากทุกมหาอำนาจ ไม่พาตัวเองเข้าสู่ความขัดแย้งรุนแรง
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ทรัมป์ 2.0 ขู่ขึ้นภาษีสินค้าอินเดียอีก 25% กลายเป็นรวม 50% หากอินเดียยังซื้อน้ำมันรัสเซีย แต่อินเดียไม่สนใจคำขู่ ล่าสุดมีข่าวว่าทรัมป์จะขึ้นภาษีสูงกว่านี้อีกนับร้อยเปอร์เซ็นต์
รัฐบาลอินเดียคำนวณแล้วว่าผลประโยชน์ที่ได้มากกว่าเสีย เพราะอินเดียกับสหรัฐยังมีความร่วมมืออีกมากและน่าจะมากขึ้นในอนาคต อินเดียยังอยู่ในกลุ่ม Quad ซ้อมรบกับสมาชิกกลุ่มสม่ำเสมอ เพียงแต่ช่วงนี้ห่างสหรัฐมากขึ้น ภาษีทรัมป์ไม่ใช่ทุกอย่าง เป็นเพียงความสัมพันธ์ฉากหนึ่งเท่านั้น
เกาหลีใต้ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น:
ถัดจาก 4 ประเทศแรก 6 ประเทศต่อมาที่มีพลังอำนาจทางทหารสูงสุด คือ เกาหลีใต้ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ตุรกีและอิตาลี บางปีอาจมีปากีสถาน บราซิล อียิปต์เข้ามาแทนที่
มีข้อสังเกตว่า ถัดจาก 4 ประเทศแรก 4 ประเทศต่อมาคือ เกาหลีใต้ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ทั้งหมดเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐ มีฐานทัพสหรัฐในเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น
ในแง่ของพันธมิตรทางทหาร ฝ่ายสหรัฐมีพวกมากกว่าอย่างชัดเจน ใช้ยุทธศาสตร์สร้างพันธมิตรทางทหารต่อเนื่อง มีข้อมูลชี้ว่ารัฐบาลสหรัฐหวังสร้างพันธมิตรด้านความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิกแบบนาโต และมีความคืบหน้าตามลำดับ ญี่ปุ่นแสดงตัวเป็นแกนนำ เรื่องนี้น่าจะคืบหน้าในรัฐบาลญี่ปุ่นชุดล่าสุด
รวมความแล้ว รัฐบาลสหรัฐหวังสร้างนาโตเอเชีย เทียบเคียงนาโตปัจจุบันและอาจรวมเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด เกาหลีใต้ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น 4 ลำดับที่กองทัพแข็งแกร่งรองจาก 4 ลำดับแรกของโลกจึงสำคัญ รัฐบาลสหรัฐจะพยายามให้ 4 ประเทศหลังนี้เพิ่มงบกลาโหม เสริมสร้างกองทัพต่อเนื่อง
ล่าสุด ทั้งเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นต่างมุ่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เกาหลีใต้คืบหน้ามากแล้ว ส่วนญี่ปุ่นกำลังมาแรงในรัฐบาลใหม่ของคุณซานาเอะ ทาคาอิจิ จากพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) แม้ PowerIndex (PwrIndx) ไม่คำนวณอาวุธนิวเคลียร์ แต่อาวุธร้ายแรงนี้เกี่ยวข้องกับพลังอำนาจทางทหาร เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่นับวันจะร้อนแรงขึ้นทุกที
ไทยกับกัมพูชา:
Global Firepower (GFP) ชี้ว่ากองทัพไทยอยู่ในลำดับที่ 25 (จากจำนวนรวม 145 ประเทศ) อยู่ในลำดับ 3 ของอาเซียน (รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม) มีกำลังพลมากพอ มีสมดุลของยุทโธปกรณ์ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ มีศักยภาพสูงในการป้องกันประเทศจากภัยภูมิภาค
กองทัพกัมพูชาอยู่ในลำดับ 95 เป็นลำดับสุดท้ายของอาเซียน (จากประเทศที่ถูกจัดลำดับ) กัมพูชามีกำลังพลประจำการมากและยุทโธปกรณ์ภาคพื้นดินบางประเภทมาก (โดยเฉพาะรถถังกับเครื่องยิงจรวด) แต่มีจุดอ่อนด้านกองทัพอากาศกับกองทัพเรือ การรบของกัมพูชาขึ้นกับการใช้กองทัพบกเท่านั้น อีกทั้งอาวุธส่วนใหญ่ล้าสมัย ขาดการบำรุงรักษา
สรุป ควรระลึกว่าสิ่งที่ Global Firepower (GFP) ไม่ได้ประเมิน คือ เจตนา (Intent) นโยบายต่างประเทศ และทัศนคติของรัฐบาลต่อการทำสงคราม การจะชนะศึกหรือไม่ขึ้นกับหลายปัจจัยนอกเหนือกำลังพลกับจำนวนอาวุธ
ต้องชมเชยว่าสหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด ใช้พลังอำนาจทางทหารขยายอิทธิพล สร้างผลประโยชน์แก่ประเทศมหาศาล ไม่ใช่กองทัพเพื่อตั้งรับเท่านั้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว
เมื่ออินเดียไม่ยอมรับเงื่อนไขการค้าทรัมป์
แค่สัมพันธ์กับจีนดีขึ้น ชายแดนลดความตึงเครียด รัฐบาลปูตินหวังร่วมมือมากขึ้น เพิ่มอำนาจต่อรองอียู แค่นี้น่าจะคุ้มค่าแล้ว เหนือกว่าภาษี 50% ของทรัมป์



