ตราบใดที่ทั้งรัฐบาลไทยกับกัมพูชาพึ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองมากเป็นพิเศษจากกระแสชาตินิยม ความขัดแย้งน่าจะดำเนินต่อไป
ต้นเดือนธันวาคม Council on Foreign Relations เผยแพร่บทความ Conflict in Cambodia and Thailand Resumes—With No End in Sight เขียนโดย Joshua Kurlantzick (นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้) กับ Annabel Richter จากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations-CFR) ซึ่งเป็น Think Tank
ด้านนโยบายต่างประเทศที่มีอิทธิพลสูงมากในสหรัฐ บทความ “ชาตินิยมในความขัดแย้งไทยกัมพูชา” นำเสนอข้อเขียนดังกล่าวพร้อมการวิเคราะห์เพิ่มเติม ดังนี้

ภาพ: Conflict in Cambodia and Thailand Resumes—With No End in Sight
เครดิต: Council on Foreign Relations
ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์:
ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย ประธานาธิบดีทรัมป์กับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม “ปฏิญญาร่วม” ระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือที่เรียกว่า “ข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์” (Kuala Lumpur Peace Accords)
การปรากฏตัวของทรัมป์มีนัยสำคัญทางการเมือง ต้องการ “ภาพ” ผู้สร้างสันติภาพ (Peacemaker) เพื่อเคลมเป็นผลงานของตนเอง ควบคู่กับการเจรจาการค้าทวิภาคีอื่นๆ
วิเคราะห์: ทรัมป์ 2.0 มาพร้อมกับนโยบายชี้ว่าท่านคือผู้สร้างสันติภาพ ผลงานโดดเด่นคือความขัดแย้งในตะวันออกกลาง (สงครามอิสราเอล-ฮามาส กับการขยายสมาชิก Abraham Accords) และกำลังเจรจาสงครามยูเครนที่อาจจะสำเร็จ
เรื่องไต้หวันเป็นอีกประเด็นที่ควรให้เครดิตท่าน หากในสมัยของท่านไม่เกิดสงครามจีน-ไต้หวัน ดังที่ทรัมป์ประกาศเมื่อไม่นานนี้ (ถ้าสหรัฐไม่เข้าร่วมสงครามก็ยากจะเกิดสงครามดังกล่าว แม้ช่วงนี้รัฐบาลญี่ปุ่นชุดใหม่กำลังวิวาทะกับจีนอย่างรุนแรง)
ในอีกมุมชี้ว่า ทรัมป์ 2.0 มีภาพย้อนแย้งว่าท่านคือผู้สร้างสันติหรือผู้ก่อสงคราม ในเวลาไม่ถึงปี รัฐบาลทรัมป์ข่มขู่ใช้กำลังทหารกับหลายประเทศ เช่น เวเนซุเอลา (ล่าสุดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกที) ขู่ทิ้งระเบิดเม็กซิโกจัดการแก๊งค้ายาเสพติด ขู่โจมตีโคลอมเบียแบบเดียวกับเวเนซุเอลา
ส่วนที่ลงมือแล้วคือ ร่วมมือกับอิสราเอลโจมตีทิ้งระเบิดอิหร่าน ทำลายโครงการนิวเคลียร์หลายแห่งเมื่อมิถุนายน 2025 ทั้งๆ ที่ไม่ชัดเจนว่าอิหร่านกำลังสร้างอาวุธนิวเคลียร์ และไม่ควรลืมว่าสงครามยูเครนเป็นสงครามตัวแทนระหว่างรัสเซียกับนาโตที่สหรัฐเป็นแกนนำ เป็นผู้สนับสนุนอาวุธสงครามรายใหญ่
ในแง่สงครามการค้า ผู้เชี่ยวชาญบางคนชี้ว่าสหรัฐทำสงครามการค้ากับหลายสิบประเทศทั่วโลก ถ้าตีกรอบให้แคบคือสงครามการค้ากับจีน แต่หากมองให้ลึกรัฐบาลทรัมป์ไม่ต่างจากรัฐบาลชุดก่อนที่เร่งปิดล้อมจีนตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ควรจับตาการเสริมสร้างกองทัพไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น เฉพาะเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นกำลังเสริมสร้างกองกำลังนิวเคลียร์ ฉีกนโยบายปลอดนิวเคลียร์ที่ยึดมานาน ไม่สนใจว่าโลกกำลังจะเข้าสู่ความเสี่ยงหายนะหรือไม่ อาวุธของประเทศที่เอ่ยถึงทั้งหมดส่วนใหญ่คืออาวุธ MADE IN USA
ความขัดแย้งไทย-กัมพูชายังไม่จบ ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งชายแดนทวิภาคีอีกต่อไป มหาอำนาจมีส่วนร่วมแล้ว
ปฏิญญาพังใน 2 สัปดาห์:
หลังจากภาพแห่งความชื่นมื่นผ่านไปเพียง 2 สัปดาห์ เกิดเหตุระเบิดที่ชายแดนไทยติดกัมพูชา ทหารไทยบาดเจ็บสาหัส 4 นาย โดยนายหนึ่งขาขาด รัฐบาลไทยประกาศระงับปฏิญญาทันที ซึ่งหมายถึงระงับการหยุดยิงด้วย สถานการณ์ชายแดนกลับมาตึงเครียด
วิเคราะห์: เป็นประเด็นน่าคิดว่าทำไมกัมพูชายังลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดฝั่งไทย จนเกิดเหตุดังกล่าว มีคำถามย่อยหลายประเด็น เช่น ผู้นำกัมพูชาสั่งการให้วางทุ่นระเบิด หรือทหารในพื้นที่ตัดสินใจทำด้วยตัวเอง ถ้าคำตอบคือผู้นำประเทศสั่งการ จะต้องตอบอีกว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น ทำไมจึงยังยั่วยุ ผู้นำกัมพูชาไม่ต้องการสันติภาพใช่หรือไม่ ใครได้อะไรจากปฏิญญาที่พังใน 2 สัปดาห์
กระแสรักแผ่นดินไทยมีส่วนสำคัญ เป็นพลังสังคมต่อต้านการเสียแผ่นดิน ต้องปกป้องอธิปไตย ที่ผ่านมากัมพูชารุกล้ำเข้ามาหลายจุดและยังไม่สามารถขับออกไป พลังสังคมนี้จึงกดดันให้รัฐบาลต้องปกป้องอธิปไตย ไม่ปล่อยให้ไทยเสียเปรียบ
ด้านกัมพูชายืนยันว่าพื้นที่ที่ยึดครองเป็นของตนอยู่แล้ว ไม่ได้รุกล้ำแดนแต่อย่างใด คนกัมพูชารักชาติรักแผ่นดินเช่นกัน และควรได้พื้นที่จากไทยเพิ่มเติมด้วย
ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์เกิดขึ้นเพื่อยุติความขัดแย้งหลังสู้รบ 5 วันเมื่อกรกฎาคม ประชาชนไทย ทหารทั้ง 2 ฝ่ายบาดเจ็บเสียชีวิต และสถานการณ์ตึงเครียดต่อเนื่อง Kurlantzick กับ Richter ชี้ว่า การปะทะครั้งนั้นทำให้กระแส “ชาตินิยม” พุ่งสูง ส่งผลดีต่อกองทัพไทยในการอ้างความชอบธรรมและเสริมสร้างบารมี
นับจากทหารไทยเสียขาที่ 7 จากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ลักลอบเข้ามาวางในฝั่งไทย สถานการณ์ชายแดนตึงเครียดตามลำดับ อาจตีความว่าคือการโต้ตอบไปมา ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ เช่น ทั้ง 2 ฝ่ายเสริมกำลังตามแนวชายแดนอีกครั้ง ไทยที่เตรียมปล่อยเชลยศึกกลับลำยับยั้งไว้ก่อน สั่งปิดชายแดนเข้มงวดต่อไป กัมพูชาได้รับอาวุธใหม่จากบางประเทศ เตรียมพร้อมทำศึกอีกรอบ
ทำไมสันติภาพไม่เกิด:
คำถามสำคัญที่สุดคือทำไมสันติภาพไม่เกิด ข้อนี้มาจากทั้งฝั่งไทยกับกัมพูชา
1) ฝั่งไทย
จากการวิเคราะห์แรงจูงใจเบื้องลึกพบว่า รัฐบาลไทยต้องการสงครามเพื่อเพิ่มคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้งปีหน้า เพราะคนไทยจำนวนมากให้ความสำคัญเรื่องชายแดน เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บางพรรคเสียคะแนน และพรรครัฐบาลจะได้คะแนนเพิ่มด้วยการคล้อยตามกระแสชาตินิยม
แนวคิดนี้ชี้ว่า ความขัดแย้งกับกัมพูชาหรือกระแสรักชาติคือหนทางสกัดพรรคฝ่ายค้าน ที่กำลังได้รับความนิยมในหลายจังหวัดทั่วประเทศ รัฐบาลชุดปัจจุบันจึงพยายามแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อกัมพูชา
2) ฝั่งกัมพูชา
รัฐบาลกัมพูชาใช้กลยุทธ์ชาตินิยมมานานแล้ว ทุกครั้งที่เลือกตั้งมักจะใช้ปัญหาชายแดนเป็นตัวปลุกกระแส เพื่อให้ประชาชนสนับสนุน อาจขยายความว่าเพื่อกลบปัญหาเศรษฐกิจสังคมของตัวเอง
วิเคราะห์: กัมพูชารู้ว่ารบไทยซึ่งหน้าไม่ได้ จึงเน้นการทูต การเมืองระหว่างประเทศ พยายามดึงมหาอำนาจมาอยู่ฝ่ายตน หวังว่าผลประโยชน์ “ที่เสนอให้” กับ “ที่มหาอำนาจได้รับ” จะเป็นแรงผลักดันให้มหาอำนาจสนับสนุน แต่ข้อนี้ต้องไม่ลืมว่ามหาอำนาจมีผลประโยชน์ร่วมกับไทยมากมาย อีกทั้งสหรัฐเป็นพันธมิตรเก่าแก่ตามสนธิสัญญาความมั่นคง
ความพยายามดึงมหาอำนาจเข้ามา ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจ ต่างต้องคำนวณผลดีผลเสีย ผลประโยชน์ที่กว้างกว่าไทยกับกัมพูชา เพราะเกี่ยวพันทั้งอินโด-แปซิฟิก และอาจเกี่ยวข้องกับการค้าที่มูลค่ามหาศาลและจับต้องได้ เมื่อพิจารณากรอบใหญ่ ผลประโยชน์ที่ได้หรือเสียจากไทย-กัมพูชากลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย
แน่นอนว่ามหาอำนาจต้องแสดงออก (acting) บางอย่าง อย่างไรเสียความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเป็นเรื่องเล็กในสายตามหาอำนาจ ผู้ที่ติดตามสถานการณ์โลกจะพบว่าความขัดแย้งไทย-กัมพูชาแทบไม่เป็นข่าว หรือเป็นข่าวเล็กที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ
หันกลับมามองตัวเอง ตราบใดที่ทั้งรัฐบาลไทยกับกัมพูชาพึ่งหวังประโยชน์ทางการเมืองมากเป็นพิเศษจากกระแสชาตินิยม ความขัดแย้งน่าจะดำเนินต่อไป
ทั้งคนไทยกับกัมพูชาควรตั้งคำถามว่า นอกจากรักษาอธิปไตยแล้วคนในชาติจะได้หรือเสียอะไรจากการสนับสนุนรัฐบาล พรรคการเมือง
ทั้งนี้ต้องไม่ทิ้งความรักชาติ ทุกวันนี้นานาอารยประเทศส่งเสริมชาตินิยมต่อเนื่อง ประธานาธิบดีทรัมป์ยึดหลัก “America First” ซานาเอะ ทาคาอิจิ (Sanae Takaichi) นายกฯ หญิงญี่ปุ่นคนใหม่ยึดหลัก “Japan First” เหล่านี้คือผู้นำประเทศ พรรคการเมืองที่ส่งเสริมชาตินิยม ผลประโยชน์ประเทศของตนต้องมาก่อน แม้ได้มาด้วยการข่มขู่ บีบบังคับ หรือกระทั่งใช้อำนาจทางทหาร
วลี “Peace through strength” หรือสันติภาพได้มาด้วยแสนยานุภาพ ยังเป็นหลักนิยมที่ใช้อยู่ เพราะมีกองทัพเข้มแข็ง พร้อมทำให้ข้าศึกย่อยยับ ศัตรูจึงไม่กล้าทำสงคราม โลกไม่สวยอย่างที่คิด
จึงต้องเข้าใจทั้งการเมืองในประเทศกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศพร้อมๆ กัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ
มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์
4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก
ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด
อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ
ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว
การข่มขู่และโจมตีจริงของทรัมป์ 2.0
การข่มขู่และลงมือจริงของทรัมป์ 2.0 เป็นหลักฐานชี้ว่ารัฐบาลทรัมป์ทำอย่างไรตามหลัก “America First”
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (2)
ฝ่ายต่อต้านเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขต แต่ในขณะเดียวกันทรัมป์ได้รับการสนับสนุนทั้งจาก สส. สว.รีพับลิกันและฐานเสียงที่เข้มแข็ง
‘No Kings’ต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (1)
สหรัฐอเมริกามาจากการต่อต้านระบอบกษัตริย์ บัดนี้ทรัมป์ใช้อำนาจเยี่ยงราชา ชาวอเมริกันจึงต่อต้าน ไม่อยากให้ประเทศกลับสู่ยุคที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตัวคนคนเดียว


