เวเนซุเอลาจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรูสหรัฐ

ความต้องการถอนอิทธิพลสหรัฐ เปลี่ยนเวเนซุเอลาจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรู ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ สังคมอยู่ในสภาพอ่อนแอ ประชาชนอ่อนเปลี้ย ช่วยตัวเองไม่ได้

ความตึงเครียดระหว่างเวเนซุเอลากับสหรัฐเป็นที่จับตาของนานาชาติ 19 ธันวาคม 2025 ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เป็นไปได้ที่จะทำสงครามกับเวเนซุเอลา

ก่อนหน้านั้นทรัมป์สั่ง CIA เริ่มปฏิบัติการลับในเวเนซุเอลา ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าอาจเพื่อปฏิบัติการทางทหารขั้นต่อไป เข้าไปบ่อนทำลาย ปฏิบัติการสงครามจิตวิทยา หรือล้มรัฐบาล เป้าหมายสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่เรื่องปราบปรามยาเสพติด น่าจะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรน้ำมัน

ภาพ: สหรัฐกล่าวหารัฐบาลมาดูโรเป็นรัฐยาเสพติด

เครดิตภาพ: ปัญญาประดิษฐ์.

การที่ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร (Nicolas Maduro) ถูกสหรัฐตีตราว่าเกี่ยวข้องกับพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ การที่สหรัฐเตรียมกองทัพ ยึดเรือบรรทุกน้ำมันที่แล่นเข้าออก ชี้ว่าทรัมป์ต้องการเล่นงานจริงจัง ไม่หยุดง่ายๆ

ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เป็นการฉลาดหากผู้นำเวเนซุเอลาลงจากตำแหน่ง ทั้งนี้ผู้นำเวเนฯ ต้องตัดสินใจเอง อย่าให้สถานการณ์รุนแรงกว่านี้

พัฒนาการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเวเนซุเอลานับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านจากพันธมิตรหลักในช่วงสงครามเย็น สู่การเป็นเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐ ปัจจัยสำคัญคือผลประโยชน์ด้านทรัพยากร ความล้มเหลวของเสรีประชาธิปไตยกับทุนนิยม ที่นำสู่กระแสประชานิยมสายปฏิวัติ นโยบายต่อต้านอิทธิพลของสหรัฐ

พันธมิตรสหรัฐในสงครามเย็น:

ย้อนหลังการเป็นพันธมิตร มาจาก 2 เรื่องคือ น้ำมันกับคอมมิวนิสต์

1) น้ำมัน ในช่วงสงครามเย็น เวเนซุเอลาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกไม่แพ้ตะวันออกกลาง เป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดแก่สหรัฐ บรรเทาปัญหาในช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันหลายครั้ง (ช่วงที่ตะวันออกกลางไม่ขายน้ำมันให้สหรัฐ) บรรษัทน้ำมันสหรัฐลงทุนจำนวนมาก

ส่วนเวเนซุเอลาใช้รายได้จากน้ำมันพัฒนาประเทศ เป็นแหล่งรายได้หลัก

2) ร่วมต้านคอมมิวนิสต์ รัฐบาลสหรัฐพยายามสกัดกั้นคอมมิวนิสต์ไม่ให้ขยายตัวในภูมิภาคลาตินอเมริกา ที่สหรัฐมองว่าเป็นสนามหลังบ้านของตน จึงพยายามเป็นมิตรกับรัฐบาลเวเนซุเอลาที่เป็นประชาธิปไตย (หลังปี 1958) ยกย่องว่าเป็น “โมเดลประชาธิปไตย” คานอำนาจกับระบอบคอมมิวนิสต์

การเปลี่ยนแปลงภายใน:

ระบอบประชาธิปไตยที่เริ่มเมื่อปี 1958 ประสบความสำเร็จในการ “สร้างรากฐานและเสถียรภาพ” แก่สังคมระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดพบว่าล้มเหลวในการ “กระจายความมั่งคั่งและปรับตัวทางเศรษฐกิจ” ความล้มเหลวสะสมเปิดประตูให้ อูโก ชาเวซ (Hugo Chavez) ก้าวสู่อำนาจในปี 1998 ด้วยนโยบายประชานิยมที่สัญญาว่าจะรื้อระบบเก่าทิ้งทั้งหมด ด้วยลัทธิโบลิเวียเรียน (Bolivarianism) ความไม่เท่าเทียม ความยากจน ที่มาจากการกดทับของชนชั้นนำทางการเมืองที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ เป็นจุดเริ่มของการปฏิวัติ ลัทธิโบลิเวียเรียนคือการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว

สังเกตว่า เสรีประชาธิปไตยกับทุนนิยมไม่สร้างชาติเวเนซุเอลาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากชนชั้นนำของเวเนฯ ด้วย

ความล้มเหลวของรัฐบาลชาเวซ:

ชาเวซอาจเริ่มต้นด้วยความตั้งใจดี แต่ความตั้งใจดีอย่างเดียวไม่พอ เมื่อเป็นรัฐบาลบริหารผิดพลาด ไม่ช่วยให้ประเทศดีขึ้นจริง ยกตัวอย่าง

1) นโยบายยึดกิจการมาเป็นของรัฐ

รัฐบาลชาเวซยึดที่ดินเกษตรกรรมกับโรงงานเอกชนจำนวนมากเข้าเป็นของรัฐตามแนวทางสังคมนิยม เมื่อรัฐเข้าบริหารแทนมืออาชีพเกิดปัญหาคอร์รัปชันมากมายและการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ที่ดินเกษตรกรรมที่เคยผลิตอาหารกลับกลายเป็นที่รกร้าง ผลผลิตลดลงอย่างมหาศาล (เช่น ข้าวและน้ำตาลลดลงกว่า 50% ในเวลาไม่กี่ปี)

2) นำเข้าทุกอย่าง ตั้งแต่แรกที่การส่งออกน้ำมันเฟื่องฟู รายได้หลักมาจากน้ำมันอย่างเดียว เงินตราต่างประเทศไหลเข้าประเทศเยอะมาก ค่าเงินแข็งค่าอย่างรวดเร็ว สินค้าเกษตรกับสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศจึงมีราคาสูงจนสู้ตลาดโลกไม่ได้ สินค้านำเข้าถูกกว่ามาก

รัฐบาลจึงเน้น “นำเข้าสินค้าทุกชนิด” แทนการผลิตในประเทศ ภาคการเกษตรกับอุตสาหกรรมจึงไม่โต

3) รัฐสวัสดิการ รัฐบาลชาเวซดำเนินโครงการมิซิโอเนส (Bolivarian Missions) ใช้งบประมาณมหาศาลจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงในช่วงนั้น สร้างโครงการสวัสดิการขนาดใหญ่ เช่น โครงการด้านสาธารณสุข โดยนำแพทย์หลายพันคนจากคิวบามาประจำการในคลินิกตามชุมชนแออัด โครงการรณรงค์การรู้หนังสือ โครงการร้านค้าอุดหนุนราคาอาหารและของใช้ที่จำเป็น

การให้สวัสดิการจำนวนมากสร้างคะแนนนิยม แต่รัฐสวัสดิการกับการพึ่งพาส่งออกน้ำมันกลายเป็น “กับดัก” ให้ประเทศไม่พัฒนา สังคมอ่อนแอ ประชาชนอ่อนเปลี้ย รอรับความช่วยเหลือจากรัฐอย่างเดียว

การต่อต้านสหรัฐและมุมกลับ:

ในยุคที่น้ำมันกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์คือหัวใจความสัมพันธ์กับสหรัฐ ชาเวซมองว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียม ถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงตั้งปณิธานจะพาประเทศออกจากร่มเงาของมหาอำนาจ ยึดนโยบายต่อต้านสหรัฐเต็มกำลัง เรียกประธานาธิบดีบุชว่า 'ปีศาจ' ทั้งนี้ชาเวซไม่ได้สู้เพียงลำพัง ได้สร้างเครือข่ายพันธมิตรฝ่ายซ้ายที่เหนียวแน่นทั่วลาตินอเมริกา ผนึกกำลังกับคิวบาและโบลิเวีย รวมถึงการดึงมหาอำนาจอย่างรัสเซียและอิหร่านเข้ามาเป็นแนวร่วมเพื่อคานอำนาจสหรัฐ

ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด การต่อต้านสหรัฐยังเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ในมุมกลับกัน รัฐบาลสหรัฐต่อต้านชาเวซเต็มกำลังเช่นกัน เวเนฯ กลายเป็นอีกประเทศที่พลิกนโยบายจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากพันธมิตรกลายเป็นปรปักษ์

เหตุทรัมป์ต้องจัดการมาดูโร:

ในสมัยทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐประกาศเหตุผลที่ต้องจัดการมาดูโร ดังนี้

1) เป็นรัฐยาเสพติด สหรัฐกล่าวหารัฐบาลของนิโกลัส มาดูโร ว่าเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็น “รัฐยาเสพติด” (Narco-state) ขึ้นบัญชีมาดูโรกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้วยข้อหาร่วมกับกลุ่ม Cartel of the Suns ลักลอบขนโคเคนเข้าสู่สหรัฐ

2) รัฐบาลขาดความชอบธรรม สหรัฐกับพันธมิตรตะวันตกไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2024 ชี้ว่ามาดูโรสืบทอดอำนาจผ่านการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส ปราบปรามคู่แข่งทางการเมืองอย่างรุนแรง

3) ยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน เวเนซุเอลามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก จึงตกเป็นเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ทรัมป์อ้างว่าเวเนซุเอลา “ขโมย” สินทรัพย์และน้ำมันที่ควรจะเป็นของสหรัฐ (ในแง่สัมปทานเดิมของบริษัทอเมริกัน) และต้องการทวงคืน

4) ปัญหาวิกฤตผู้อพยพ อ้างว่ารัฐบาลมาดูโรเป็นต้นเหตุวิกฤตผู้อพยพที่ทะลักเข้าสู่สหรัฐ

ไม่ว่าเหตุผลที่กล่าวมาถูกต้องชอบธรรมเพียงใด รัฐบาลสหรัฐเดินหน้าจัดการรัฐบาลมาดูโร นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า เป้าหมายคือล้มมาดูโร จัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่เป็นมิตรกับสหรัฐ ให้บรรษัทน้ำมันอเมริกันเข้าครอบครองทรัพยากรน้ำมันเวเนฯ อีกครั้ง

เวเนซุเอลาเป็นอีกตัวอย่างที่แม้อุดมด้วยทรัพยากรน้ำมัน (รายได้จากน้ำมันเลี้ยงคนทั้งประเทศ) แต่ชนชั้นนำไม่อาจใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศ ซ้ำกลายเป็นกับดักทำให้ประเทศไม่พัฒนา รวยกระจุก จนกระจาย นโยบายประชานิยมที่เริ่มตั้งแต่สมัยอูโก ชาเวซ ได้แค่คะแนนนิยมแต่เป็นยาพิษระยะยาว การปฏิวัติแค่ต่อลมหายใจเท่านั้น ระบบบริหารยังเต็มด้วยคอร์รัปชัน สังคมอ่อนแอ ประชาชนอ่อนเปลี้ย ช่วยตัวเองไม่ได้

การเผชิญหน้ากับสหรัฐคงไม่จบง่ายๆ เพราะเริ่มมาหลายทศวรรษแล้ว ทรัมป์คืออีกฉากหนึ่งเท่านั้น และกำลังซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อทั้งรัสเซียกับจีนสอดมือเข้าช่วย กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลงว่า ยืนยันสนับสนุนและเป็นหนึ่งเดียวกับผู้นำเวเนฯ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แนวทางสร้างชาติซาอุฯด้วยAI

ซาอุฯ เป็นชาติที่สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ด้วยปัญญาประดิษฐ์ เป็นต้นแบบแก่ชาวอาหรับและโลกมุสลิมทั้งปวง

สงครามการค้าสหรัฐกับจีนใครอึดกว่าชนะ

มหาอำนาจตักตวงผลประโยชน์จากประเทศอื่นๆ ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจด้วยกัน พวกเขาสร้างความขัดแย้งเพื่อได้ประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อเสียประโยชน์

4+4ประเทศสำคัญของศักยภาพทหารโลก

ในภาพระดับโลกมี 8 ประเทศสำคัญมากสุด และสามารถแยกเป็น 2 ระดับ สหรัฐอเมริกามีกองทัพเข้มแข็งที่สุด และใช้ประโยชน์จากกองทัพได้มากที่สุด

อูโก ชาเวซ ผู้ต้านการกดทับของชนชั้นนำกับมหาอำนาจ

ลัทธิโบลิเวียเรียนชี้ว่า ต้นเหตุความยากจนมาจากการกดทับของชนชั้นนำที่ร่วมมือกับมหาอำนาจ จึงต้องการปลดปล่อยประชาชนจากการกดขี่ของ 2 อำนาจดังกล่าว