แอสตร้าเซนเนก้า เผย อย. สหรัฐรับรองยาแอนติบอดิ 'Evusheld' สามารถลบล้างฤทธิ์ 'โอมิครอน' ได้

17 ธ.ค. 2564- แอสตร้าเซนเนก้าประเทศไทยรายงานว่า ผลการศึกษาอิสระโดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา บ่งชี้ว่า Evusheld ยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antibody - LAAB) แบบผสมสามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอนได้ เป็นยาแอนติบอดีชนิดเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินในสหรัฐอเมริกา

สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ข้อมูลพรีคลินิกล่าสุดแสดงให้เห็นว่า Evusheld ของแอสตร้าเซนเนก้า ยาแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antibody - LAAB) แบบผสม (ส่วนผสมระหว่างแอนติบอดีสองชนิด ได้แก่ tixagevimab และ cilgavimab) สำหรับการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 สามารถลบล้างเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 (B.1.1.529) สายพันธุ์โอไมครอนได้

จากการศึกษาพบว่า ยา Evusheld มีระดับ Inhibitory Concentration 50 (IC50) (ระดับฤทธิ์ของแอนติบอดีในการลบล้างเชื้อไวรัส) เมื่อใช้ปริมาณยา 171 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร และ 277 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร จากการทดสอบยืนยันสองครั้ง ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 ทั้งนี้ยา Evusheld มีค่า IC50 ต่อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ดั้งเดิม หรือสายพันธุ์อู่ฮั่น เมื่อใช้ปริมาณยา 1.3 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร และ 1.5 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ

ข้อมูลเบื้องต้นจากการทดสอบไวรัสเทียมของหนามแหลมไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนในการตอบสนองต่อฤทธิ์ของแอนติบอดีสูตรผสมระหว่าง tixagevimab และ cilgavimab อันเป็นส่วนผสมของยา Evusheld เป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนถึงหลักฐานทางการศึกษาพรีคลินิกที่มีมากขึ้น และแสดงให้เห็นว่ายา Evusheld สามารถออกฤทธิ์ต่อสายพันธุ์ที่น่ากังวลได้ในทุกสายพันธุ์ที่มีการค้นพบจนถึงปัจจุบัน1

การศึกษาฉบับนี้จัดทำอย่างอิสระโดยผู้วิจัยของศูนย์วิจัยและประเมินผลทางชีววิทยา องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา ด้วยทุนสนับสนุนด้านการวิจัยจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา

เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของ แอสตร้าเซนเนก้า กล่าวว่า การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ยา Evusheld สามารถลบล้างไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอนได้ การผสมแอนติบอดีประสิทธิภาพสูงสองชนิดเข้าด้วยกัน นำมาซึ่งการออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสที่ส่งเสริมกัน ยา Evusheld ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นมา เพื่อเอาชนะการต้านฤทธิ์และการกลายพันธุ์ของไวรัส SARS-CoV-2 ในอนาคตโดยเฉพาะ โดยยา Evusheld คือแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antibody - LAAB) แบบผสมชนิดแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินในสหรัฐอเมริกา สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 และกำลังขึ้นทะเบียนในหลายๆประเทศ ทั้งนี้เรากำลังเร่งทำงานกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อนำยา Evusheld มาใช้ในการรักษาโรคโควิด-19”

การทดลองทางคลินิกของยา Evusheld มีขึ้นในช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนยังไม่แพร่ระบาด ทางบริษัทกำลังดำเนินการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับประยุกต์ใช้ผลการศึกษานี้ในแนวทางการรักษาต่อไป แอสตร้าเซนเนก้าและเครือข่ายห้องปฏิบัติการต่างๆ อยู่ระหว่างการวิเคราะห์เพิ่มเติม เพื่อประเมินฤทธิ์ของยา Evusheld ต่อไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน โดยคาดว่าจะมีข้อมูลเผยแพร่ในเร็วๆ นี้

ยา Evusheld ได้รับการขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินในสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม 2564 สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันบกพร่องปานกลางถึงรุนแรง เนื่องมาจากการรักษาทางการแพทย์ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกัน และผู้ที่อาจมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ไม่เพียงพอ รวมถึงผู้ที่ไม่สามารถรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ โดยคาดว่าจะมียาโดสแรกพร้อมใช้ในเร็วๆ นี้
ประชากรทั่วโลกประมาณ 2% มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ลดลง3,4 มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการปกป้องประชากรที่เปราะบางจากการติดเชื้อโควิด-19 สามารถป้องกันการเกิดวิวัฒนาการของเชื้อไวรัสนี้ได้ และนับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการกลายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่างๆ5
นอกจากนี้ ผลการทดลองภายใต้การศึกษา พรูฟเวนท์ (PROVENT) ระยะที่ 3 จากการรักษาผู้ป่วยนอกแสดงให้เห็นว่ายา Evusheld สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดความรุนแรงจากโรคโควิด-19 หรือการเสียชีวิต (จากสาเหตุใดก็ตาม) ได้ถึง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) จากผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลโดยมีอาการไม่ถึง 7 วัน6

สำหรับยา Evusheld เดิมชื่อ AZD7442 คือ แอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antibody - LAAB) ที่ผสมยา LAAB สองชนิด ได้แก่ tixagevimab (AZD8895) และ cilgavimab (AZD1061) ซึ่งมาจากบีเซลล์ที่ได้รับการบริจาคจากผู้ที่เคยป่วยจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งถูกค้นพบโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิวท์ และได้อนุญาตให้แอสตร้าเซนเนก้านำมาพัฒนาต่อเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2563 โมโนโคลนอลแอนติบอดีของมนุษย์ 2 ตัวนี้จะมีความจำเพาะที่ต่างกัน เพื่อจับกับโปรตีนหนามของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ SARS-CoV-27 ในคนละจุด และถูกพัฒนาต่อโดยแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อขยายระยะเวลาครึ่งชีวิต(half-life) เพื่อเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ และปรับให้มีการจับกันของ Fc Receptor และ Complement ชนิด C1q ที่ลดลง โดยการขยาย half-life นั้น สามารถเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ได้มากกว่าสามเท่าเมื่อเทียบกับแอนติบอดี้ทั่วไป ซึ่งอาจป้องกันโรคโควิด-19 ได้ยาวนานถึง 12 เดือน จากการใช้ยาเพียงหนึ่งครั้ง8-10 จากข้อมูลของการทดลองในระยะที่ 3 แสดงให้เห็นว่าระดับของแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัส (neutralizing antibody) คงอยู่ได้เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน11 และการปรับให้มีการจับของ Fc Receptor ที่ลดลงนั้นสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะ antibody-dependent enhancement (ADE) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่แอนติบอดี้ของเชื้อไวรัสเข้าไปกระตุ้นแทนที่จะยับยั้งการติดเชื้อ12

เดือนธันวาคม 2564 องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ขึ้นทะเบียน Evusheld (ส่วนผสมระหว่างแอนติบอดีสองชนิด ได้แก่ tixagevimab และ cilgavimab) เพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉิน สำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 และเป็นยาแอนติบอดีชนิดเดียวในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในการป้องกันอาการของโรคโควิด19 ก่อนที่ไวรัสจะแสดงอาการ Evusheld ได้รับอนุญาตให้ใช้เป็นยาป้องกัน ในภาวะฉุกเฉินในหลายๆประเทศ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แอสตร้าเซนเนก้า จับมือโรงพยาบาลพุทธชินราช ยกระดับการดูแลรักษาเชิงรุก ส่งมอบนวัตกรรม Asthma Smart Kiosk

กรุงเทพฯ – บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับโรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ทำการติดตั้ง Asthma Smart Kiosk เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ผลักดันจังหวัดพิษณุโลกให้เป็นเมืองต้นแบบแห่งการดูแลผู้ป่วยโรคปอด

เครือ BDMS นำร่อง รพ.มะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ จับมือ แอสตร้าเซนเนก้า ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอด

บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมลงนามความร่วมมือภายใต้โครงการ

ศูนย์จีโนมฯ อัปเดตผลทดลอง 'วัคซีนโควิด' รุ่นล่าสุด 'XBB.1.5 โมโนวาเลนต์'

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า องค์การอนามัยโลกระบุวัคซีนโควิด-19 เจนเนอเรชั่นล่าสุด “XBB.1.5 โมโนวาเลนต์”

'ศูนย์จีโนม' ผวา! พบโอมิครอน 'กลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว' เพิ่มอีกตำแหน่ง

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า น่ากังวล! กลุ่มโอมิครอนกลายพันธุ์คู่-พลิกขั้ว “L455F + F456L”