ยายสุดทน แจ้งจับหลานชายคลั่งยา ทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง

ยายสุดทน แจ้งจับหลานชายแท้ๆ คลั่งยาทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง ส่วนตาผวาหนักปิดบ้านหนีตาย แจ้งตำรวจลากตัวเข้าห้องขัง ขณะชาวบ้านเองต้องย้ายงานแต่งงานในชุมขน กลัวอาละวาดเทงานวิวาห์

29 พ.ค. 2565 – เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 28 พฤษภาคม 2565 วิทยุ 191 ส.ภ.เมืองตรัง ได้รับแจ้งเหตุ ชายคลั่งบุกทำร้ายร่างกายบุคคลในครอบครัว จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด 191 ร่วมกับอาสาสมัครตำรวจ กว่า 10 นาย รุดไปยังบ้านที่เกิดเหตุ ท่ามกลางชาวบ้านกำลังแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเหล็กง่าม กระบอง บุกไปยังบ้าน เลขที่ 161/1 ชุมชนคลองน้ำเจ็ด ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง โดยมีนางบุญศรี ส่วนน้อย อายุ 63 ปี เจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ รอให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในอาการยังตกใจอยู่ โดยกล่าวว่า ผู้ที่ก่อเหตุเป็นหลานชายแท้ๆของตน คือ นายธีรภัทร สายจันทร์พงศ์ อายุ 24 ปี หลังจากก่อเหตุทำร้ายร่างกายตนและตาซึ่งเป็นสามีของคนได้หลบอยู่ในบ้าน โดยปิดประตูแน่นหนา

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เรียกให้เปิดประตู แต่กลับไม่มีเสียงตอบ จึงได้ใช้กำลังงัดประตู เพื่อเข้าประชิดตัวผู้ก่อเหตุภายในบ้านได้โวยวายพยายามต่อสู้ แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบตัว ไปดำเนินคดีได้อย่างทุลักทุเล

จากนั้นนางบุญศรี ซึ่งเป็นยายของผู้ก่อเหตุ นำผู้สื่อข่าวไปดูความเสียหายผลงานของหลานชาย ซึ่งพบว่าทรัพย์สินภายในบ้านเสียหายหลายอย่าง โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ทั้งเตะ ใช้ไม้ทุบตี และเคยใช้มีดปลายแหลมทำร้ายร่างกายตน ตนเองใช้กระทะรับ ทำให้กระทะถึงกับทะลุโชว์ให้นักข่าวดู

นายประดิษฐ์ ส่วนน้อย อายุ 68 ปี ตาของผู้ต้องหา ซึ่งถูกหลานชายทำร้ายร่างกาย กล่าวว่า เวลาที่หลานคลุ่มคลั่งตนสู้ไม่ได้ เพราะตัวเองเป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง สู้ไม่ไหว ทั้งนี้อาการของหลานที่เป็นก็อยู่ที่อารมณ์ของเขา ก่อนหน้านี้ได้บีบคอตน ประตูบ้านก็ทำลายพังหมด ตนกลัวมากจนต้องปิดประตูหนี ทำร้ายแม้กระทั่งหลานที่ยังเล็กๆ อาการเป็นมานานแล้วเพราะติดยาเสพติด จนเอาไม่อยู่แล้ว เพื่อนบ้านผวากันหมดแล้ว

แต่เมื่อสอบถามนายธีรภัทร ผู้ก่อเหตุ ว่าได้ทำร้ายร่างกายหรือไม่ ได้ตอบปฏิเสธว่าไม่เคยทำร้ายตา แต่เคยด่าตาจริงๆ และตาของตนรับที่ตนอยู่สภาพแบบนี้ไม่ได้ ส่วนใหญ่จะทำลายข้าวของมากกว่า ทั้งนี้ปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้ติดยาเสพติดแต่ก็ยอมรับว่าเสพยาจริง วันละ 2 เม็ด แต่เมื่อบอกว่าพร้อมที่จะไปรักษาตัวหรือยัง นายธีรภัทร ผู้ก่อเหตุตอบว่า ตนไม่ได้เป็นอะไร ทั้งนี้ทราบว่ามีเพื่อนบ้านแจ้งความให้มาจับกุมกว่า 10 ครั้ง แล้ว

ส่วนยายนางบุญศรี ซึ่งเป็นผู้แจ้งจับหลานชาย กล่าวว่า ตนเองก็ไม่อยากแจ้งจับหลาน แต่ทนไม่ไหวจริง ๆ โดนทำร้ายเจ็บปางตายหลายครั้ง ทั้งนี้เพื่อนบ้านผวาด้วยความกลัวไม่กล้าเดินผ่านบ้านของตน งานวิวาห์ที่จัดใกล้บ้านต้องย้ายสถานที่จัดเพราะกลัวผู้ก่อเหตุจะเข้าไปทำลายอาละวาทในงานให้ได้รับความเสียหาย สาวแก่แม่หม้ายต่างก็ปิดประตูกลัวจะโดนตามไปทำร้าย ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมานำตัวไปก็รู้สึกโล่งอก ยกมือพนมไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก ๆ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภูเก็ต ส่งข้อมูลพฤติกรรม 'ฝรั่งเตะหมอ' เป็นภัยต่อสังคมให้ ตม. แล้ว หลังเพิกถอนวีซ่า

นายศรัทธา ทองคำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุมร่วมกับฝ่ายปกครอง ตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมมุกอันดา ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต อำเภอเมืองจังหวัดภูเก็ต

ศาลสั่งปรับคนละ 1 หมื่น 2 กะเทยฟิลิปปินส์กับพวกรุมทำร้ายกะเทยไทย

ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ 470/2567 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 ยื่นฟ้องด้วยวาจา

รองผู้ว่าฯภูเก็ต เซ็นหนังสือด่วนที่สุด ส่งถึง ตม. ขอเพิกถอนพาสปอร์ต 'ฝรั่งเตะหมอ' ชี้เป็นภัยต่อสังคม

นายศรัทธา ทองคำ รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ลงนามหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ ภก 0018.4/5032 ถึง ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต เรื่อง ขอให้พิจารณาดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางของ MR.URS BEAT FEHR

ชาวบ้านนัดรวมตัวกัน 3 มี.ค. ที่หาดยามู ขับไล่ฝรั่งเตะหมอ

จากกรณีชาวต่างชาติทำร้ายร่างกายแพทย์หญิงชาวไทย ที่บริเวณหาดยามู ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 เวลาประมาณ20.50 น. ผู้เสียหาย น.ส.ธารดาว จันทร์ดำ อายุ 26 ปี แพทย์ประจำโรงพยาบาลดีบุก คู่กรณี MR.URS BEAT FEHR อายุ 45 ปี สัญชาติ สวิสเซอร์แลนด์

รองผู้ว่าฯภูเก็ต ยันไม่มีมาเฟียในจังหวัด ศักดิ์ศรีคนไทยเท่าเทียมเพื่อนมนุษย์ทุกชาติ

นายกองเอกอดุลย์ ชูทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตกล่าวว่า จังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดท่องเที่ยวมีความปลอดภัย ไม่มีมาเฟีย ยืนยันว่า ประเด็นมาเฟียต่างชาติไม่มีในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างสม่ำเสมอ มีการตรวจจับร้านอาหารที่ต่างชาติทำเองโดย