ศาลฯแก้โทษให้ประหารชีวิต 'บรรยิน' กับมืออุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา

1 ก.ค.2565 - ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาอดีตเจ้าของสำนวนโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ หมายเลขดำ อท.69/2563 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 3 น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐเป็นโจทก์เเละโจทก์ร่วมยื่นฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรมช.พาณิชย์, นายมานัส ทับทิม , นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์, นายชาติชาย เมณฑ์กูล, นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข และ ด.ต.ธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ ทั้งหมดภูมิลำเนา จ.นครสวรรค์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิด 9 ข้อหา ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 289, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปถึงแก่ความตาย มาตรา 309, 313, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มาตรา 310, ฐานร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป มาตรา 139, 140, ฐานเป็นซ่องโจร โดยสมคบกันเพื่อกระทำผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต มาตรา 210, ฐานร่วมกันพยายามข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทำการใดโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป มาตรา 213, ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพเพื่อปิดบังการตายและสาเหตุการตายมาตรา 199, ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นเพื่ออำพรางคดี

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.63 ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นจนถึงแก่ความตายฯ ลงโทษประหารชีวิต, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 289(4)(7) ลงโทษประหารชีวิต, ฐานแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานฯจำคุก 1ปี สวมเครื่องแบบเจ้าพนักงานฯ จำคุก 1 ปี, ซ่อนเร้นทำลายศพฯ จำคุก 4 ปี แต่จำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1 ใน 3 ทุกข้อหาคงจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้นตลอดชีวิตสถานเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานสนับสนุนให้กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 4-6 มีความผิดฐานร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายฯ(เรียกค่าไถ่) ลงโทษประหารชีวิต แต่ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยจำเลยที่ 1 ให้นับโทษต่อจากคดีโอนหุ้นจำคุก 8 ปี ของศาลอาญากรุงเทพใต้ส่วนจำเลยที่3 กระทำผิดฆ่าโดยไตร่ตรอง (คนลงมือ)พิพากษาประหารชีวิต เเละกักขังหน่วงเหนี่ยวให้ผู้อื่นถึงเเก่ความตาย พิพากษาประหารชีวิต ให้การเป็นประโยชน์ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต

ต่อมาโจทก์ โจทก์ร่วม จําเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ยื่นอุทธรณ์ จําเลยที่ 3 ไม่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสํานวนประชุมปรึกษาแล้วพฤติการณ์ ที่มีการเตรียมอุปกรณ์ การเผาทําลายศพในสถานที่ที่ยากแก่การรู้เห็นของบุคคลอื่นไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะมีการลักพาตัวผู้ตาย บ่งชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจําเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรอง ไว้ก่อนและเพื่อปกปิดการกระทําความผิดอื่นหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทําไว้ ตั้งแต่ต้น จําเลยที่ 1 คาดการณ์ไว้แล้วว่า ผู้ต้องจะต้องขัดขืนไม่ให้มีการนําตัวผู้ตายไปโดยง่าย หากผู้ตายขัดขืนจะตัวมีการใช้กําลังบังคับหรือประทุษร้าย ผู้ร้ายโดยวิธีใดวิธีหนึ่งเพื่อให้ผู้ตายยินยอม ให้จําเลยที่ 1 เอาตัวผู้ตายไป ฟังได้ว่า จําเลยที่ 1 ใช้กําลังประทุษร้ายผู้ตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ประกอบกับจําเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายมาตั้งแต่แรก ต่อมาจําเลยท่ี 1 และที่ 3 นําผู้ตายไปเผาในสถานที่ที่เตรียมการไว้ การตายของผู้ตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทําของจําเลยของจําเลยที่ 1 และที่ 3

พยานหลักฐานของโจทก์มีนําหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จําเลยที่ 1 และท่ี 3 ร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่น ที่ได้กระทําไว้ตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อจําเลยที่ 1 ลักพาตัวผู้ตาย เพื่อจะให้ผู้ตายต่อรองให้โจทก์ร่วมพิพากษายกฟ้อง
ถือได้ว่าจําเลยที่ 1 ลงมือกระทําโดยลักพาผู้ตายโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อจะเรียก ค่าไถ่ซึ่งครบองค์ประกอบความผิดแล้วจําเลยที่ 2 มีส่วนกับจําเลยที่ 1 และที่ 3 สะกดรอยติดตาม ความเคลื่อนไหวของโจทก์ร่วมและผู้ตาย ในวันเกิดเหตุจําเลยที่ 2 ยังขับรถยนต์พาจําเลยที่ 1 ที่ 3 กับที่ 5 จากจังหวัดนครสวรรค์ มาที่บ้านเลขที่ 9/13 และขับรถยนต์จากจังหวัดนครสวรรค์ ไปรอจําเลยที่ 1 และที่ 3 กับพวก โดยทราบว่าจําเลยที่ 1 และที่ 3 มีเจตนาจะลักพาตัวผู้ตาย เป็นการสนับสนุนจําเลยที่ 1 กับพวกกระทําความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทําไว้ และเพื่อให้ได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรอืกักขังบคุคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูก กักขังถึงแก่ความตาย จําเลยที่ 4 และจําเลยที่ 5 ร่วมกับจําเลยท่ี 1 และท่ี 3 หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตาย จําเลยท่ี 4 และที่ 5 จึงมีความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จําเลยที่ 4 และที่ 5 มีเจตนาลักพาตัวผู้ตายไปเพื่อหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ

เมื่อจําเลยท่ี 3 ใช้กําลังประทุษร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย แม้จําเลยท่ี 4 และท่ี 5 ซึ่งเป็นตัวการร่วม จะไม่มีเจตนาให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จําเลยท่ี 4 และท่ี 5 ต้องรับผิดในผลของความตายนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 63 จําเลยท่ี 6 เข้าใจตั้งแต่ต้นว่าจําเลยที่ 1 ให้ จําเลยท่ี 6 หาคนไปช่วยทวงหนี้แต่ที่จําเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การต่อพนักงานสอบสวนไม่ปรากฏว่าก่อนหน้านั้น จําเลยท่ี 4 และที่ 5 มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญด้านการทวงหนี้ตามกฎหมายมาก่อน จําเลยท่ี 6 ย่อมคาดหมายได้แล้วว่า การทวงหนี้ของจําเลยท่ี 1 จะต้องมีการใช้กําลังบังคับหรือประทุษร้าย หรือหน่วงเหนี่ยวบุคคลหนึ่งให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จําเลยที่ 1 จึงต้องให้จําเลยที่ 6 หาคนไปช่วยดําเนินการให้ ฟังได้ว่าจําเลยที่ 6 ได้ช่วยเหลือโดยอํานวยความสะดวกให้จําเลยท่ี 4 และที่ 5 เดินทางไปกับจําเลยท่ี 1 เมื่อจําเลยที่ 4 และท่ี 5 ร่วมกับจําเลยที่ 1 และที่ 3 นําตัวผู้ตาย ไปหน่วงเหนี่ยวกักขังในรถคันก่อเหตุโดยเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามที่วินิจฉัยแล้ว การกระทํา ของจําเลยที่ 6 จึงเป็นการสนับสนุนจําเลยที่ 1 ท่ี 3 ถึงที่ 5 กระทําความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น และฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลอื่นตามคําพิพากษา ศาลชั้นต้น แต่มิใช่เพียงมาตรา 310 วรรคแรก, 313 (3) วรรคแรก ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นสมควรแก้ไขปรับบทให้ถูกต้องเป็นมาตรา310วรรคสอง,313(3)วรรคทา้ย ประกอบ มาตรา 86, 87 วรรคสอง

ปัญหาว่าสมควรลงโทษจําเลยที่ 1 ท่ี 4 และท่ี 5 เบากว่าคําพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตายและฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดของตนหรือหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ตนกระทําไว้ ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (7) และมาตรา 313 (3) วรรคท้าย มีระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียว จึงกําหนดโดยจําเลยที่ 1 ท่ี 4 และที่ 5 อย่างอีกไม่ได้ ส่วนความผิดฐานสวมเครื่องแบบและประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงานและแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอํานาจกระทําการนั้น และฐานร่วมกันกระทําการใด ๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทําให้การชันสูตร พลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือเพื่ออําพรางคดีศาลชั้นต้นกําหนดโทษเหมาะสม กับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข

ปัญหาว่ามีเหตุสมควรลดโทษให้จําเลยทั้งหกหรือไม่ จําเลยที่ 1 กับพวกมีพฤติการณ์สมคบ และร่วมกันวางแผนเพื่อกระทําผิดมาอย่างดีและมีการแบ่งหน้าที่กันทําอย่างเป็นขั้นตอน การที่จําเลยที่ 1 อ้างว่ามีเหตุจูงใจมาจากจําเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีของโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสํานวน จําเลยที่ 1 เคยรับราชการตํารวจในตําแหน่งพันตํารวจโท เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเคยดํารงตําแหน่งรัฐมนตรี ประกอบกับมีทนายความ

ช่วยแก้ต่างให้ ย่อมทราบถึงขั้นตอนและวิธีพิจารณาความว่ายังสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์และฎีกาคําพิพากษาต่อไปได้การที่จําเลยท่ี 1 กับพวกใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายบังคับข่มขู่ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดี เพื่อให้เจ้าพนักงานปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าท่ี และร่วมกระทําผิดในที่สาธารณะอย่างอุกอาจ โดยไม่ยําเกรงต่อกฎหมาย จึงถือว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่เป็นภัยต่อสังคมโดยรวมอย่างร้ายแรง และส่งผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างและเพื่อป้องปรามไม่ให้มีการ กระทําผิดลักษณะนี้อีก จึงไม่สมควรลดโทษให้แก่จําเลยนั้น

เห็นว่า คํารับสารภาพหรือรับข้อเท็จจริง ของจําเลยอันจะถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78 ได้นั้น จะต้องเป็น กรณีที่ให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาศาลจึงจะพิจารณาลดโทษที่จะลงให้แก่จําเลยได้การพิจารณาของศาลชั้นตน้นั้นปรากฏว่าโจทก์มีพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปดิที่บนัทึกภาพ เหตุการณ์ตั้งแต่จําเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันสะกดรอยติดตามความเคลื่อนไหวของโจทก์ร่วมกับผู้ตาย สถานที่ที่จําเลยที่ 6 ขับรถมาส่งจําเลยที่ 4 และที่ 5 ขึ้นรถยนต์ไปกับจําเลยที่ 1 ตลอดจน การใช้พาหนะสําหรับเดินทางของจําเลยท่ี 1 ถึงที่ 5 จากจังหวัดนครสวรรค์มาจนถึงบริเวณที่จอดรถ รอผู้ตายที่หน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ กล้องวงจรปิดสามารถบันทึกเหตุการณ์ภายหลังจากที่จําเลยที่ 1 ท่ี 3 ถึงที่ 5 นําตัวผู้ตายขึ้นรถและหลบหนีไปที่บริเวณที่เตรียมอุปกรณ์รอไว้เผาร่างผู้ตาย มีวัตถุพยาน ที่พบอยู่บริเวณที่เผาศพผู้ตายสอดคล้องกับรายงานการตรวจสารพันธุก รรมซึ่งเป็นพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงพยานจากการวิเคราะห์ข้อมูลการให้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้กระทําความผิดอย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงกันเป็นการเฉพาะกิจ ถึงแม้ว่าโจทก์จะไม่มีประจักษ์พยาน ที่รู้เห็นเหตุการณ์ขณะที่จําเลยท่ี 1 และที่ 3 แต่ศาลก็อาศัยพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าว เป็นพยานหลักฐานสําคัญในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงและพิพากษาลงโทษจําเลยทั้งหกได้ โดยไม่มีความจําเป็นต้องอาศัยคํารับของจําเลยอีก ทั้งจําเลยท่ี 1 ให้การรับสารภาพหลังจากได้ตรวจ พยานหลักฐานของโจทก์แล้วมีเหตุผลให้น่าเชื่อว่า จําเลยท่ี 1 ท่ี 2 และที่ 4 ถึงท่ี 6 ยอมรับข้อเท็จจริง จําเลยท่ี 3 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาเพราะจํานนต่อพยานหลักฐาน หาใช่รับสารภาพ เพราะสํานึกในความผิด คํารับสารภาพเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันจะเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 อันจะพึงลดโทษให้ได้

ที่ศาลชั้นต้นลดโทษให้แก่จําเลยทั้งหกนั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า จําเลยที่ 1และที่ 3ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก เป็นเพียง การพยายามกระทําความผิดตาม มาตรา 80จําเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) (7 ) และมาตรา 314 ประกอบมาตรา 86 แต่จําเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 310วรรคสอง, 313(3) วรรคท้าย ประกอบมาตรา 86,87 วรรคสอง

เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิดฐาน เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจําคุกตลอดชีวิตจําเลยที่ 6มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคสอง, 313 (3) วรรคท้าย ประกอบมาตรา 86,87วรรคสอง เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิดฐานเพื่อให้ไดมาซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90ลงโทษจําคุกตลอดชีวิต ไม่ลดโทษให้จําเลยทั้งหกในความผิดฐานแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอํานาจกระทําการนั้น ฐานสวมเครื่องแบบตํารวจโดยไม่มีสิทธิ ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือถูกกักขัง ถึงแก่ความตาย ฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย ฐานร่วมกันกระทําการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ในบริเวณท่ีพบศพ ก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทําให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปหรือเพื่ออําพรางคดี ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิดฐานเพื่อให้ได้มา ซึ่งค่าไถ่ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไปผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย

เมื่อลงโทษประหารชีวิตจําเลยที่ 1และที่ 3แล้วไม่อาจนําโทษ กระทงอื่นมารวมหรือนับโทษต่อจากโทษคดีอื่นหรือเพิ่มโทษได้อีก ทั้งนี้ จําเลยที่ 1เเละ3 ไม่ปรับบท ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4)(7) มาตรา 314 ประกอบ มาตรา 86 แต่จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรค 2313 (3) วรรคท้ายประกอบมาตรา 86,87 วรรคสองเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต

จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคสอง 313 (2)วรรคท้าย ประกอบมาตรา 86,87 วรรคสอง เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต

ไม่ลดโทษให้จำเลยทั้ง6ในความผิดฐานแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการเป็นเจ้าพนักงาน สวมเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิ ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว หรือถูกกักขังถึงแก่ความตาย ฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือถูกกักขังถึงแก่ความตาย ฐานร่วมกันกระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรศพเสร็จสิ้นฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใดเป็นเหตุให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือถูกกักขังถึงแก่ความตาย

เมื่อลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1และที่ 3แล้วไม่อาจนำโทษกระทงอื่นมารวมหรือนับต่อจากโทษคดีอื่นหรือเพิ่มโทษได้อีก

ทั้งนี้จำเลยที่ 1และที่ 3ไม่ปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (3)

นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงระหว่างระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ.2563 จำเลยทั้งหกนำโดย พ.ต.ท.บรรยิน ได้ร่วมกันสมคบคิด วางแผน แบ่งหน้าที่กันทำ ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย เอาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายของ น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนโอนหุ้นของพ.ต.ท.บรรยิน ไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง และใช้ความปลอดภัยในชีวิตของนายวีรชัยต่อรองเรียกค่าไถ่ ข่มขืนใจ น.ส.พนิดา ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยให้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก ในคดีอาญาหมายเลขดำ 305/2561 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ พร้อมกับให้มีคำสั่งคืนเงินหุ้นทั้งหมดในคดีแก่จำเลยที่ 1

หลังจากนั้นได้จะฆ่านายวีรชัยแล้วทำลายศพ โดยใช้ไฟเผาด้วยยางรถยนต์ ราดด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง อันเป็นการสมคบกันกระทำผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดของตนแล้วร่วมกันเก็บชิ้นส่วนที่เหลือจากการเผาใส่ถุงพลาสติกหลายถุงทิ้งริมถนนสายนิคม-ห้วยดุก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่บ้านกลางแดด จ.นครสวรรค์ พร้อมนำทรัพย์สินของผู้ตาย เครื่องมือในการกระทำผิดทิ้งลงแม่น้ำปิง บริเวณหน้าวัดไทรใต้ เพื่อทำลายหลักฐาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงระหว่างระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ.2563 จำเลยทั้งหกนำโดย พ.ต.ท.บรรยิน ได้ร่วมกันสมคบคิด วางแผน แบ่งหน้าที่กันทำ ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย เอาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายของ น.ส.พนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนโอนหุ้นของพ.ต.ท.บรรยิน ไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง และใช้ความปลอดภัยในชีวิตของนายวีรชัยต่อรองเรียกค่าไถ่ ข่มขืนใจ น.ส.พนิดา ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยให้มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก ในคดีอาญาหมายเลขดำ 305/2561 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ พร้อมกับให้มีคำสั่งคืนเงินหุ้นทั้งหมดในคดีแก่จำเลยที่ 1

หลังจากนั้นได้จะฆ่านายวีรชัยแล้วทำลายศพ โดยใช้ไฟเผาด้วยยางรถยนต์ ราดด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง อันเป็นการสมคบกันกระทำผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดของตนแล้วร่วมกันเก็บชิ้นส่วนที่เหลือจากการเผาใส่ถุงพลาสติกหลายถุงทิ้งริมถนนสายนิคม-ห้วยดุก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณหมู่บ้านกลางแดด จ.นครสวรรค์ พร้อมนำทรัพย์สินของผู้ตาย เครื่องมือในการกระทำผิดทิ้งลงแม่น้ำปิง บริเวณหน้าวัดไทรใต้ เพื่อทำลายหลักฐาน

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สิ้นประธาน นปก. ‘ณัฐวุฒิ’ รำลึกอดีตผู้พิพากษา ยืนข้างประชาชนต้านรัฐประหาร

“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เล่าเรื่องราวและความทรงจำถึง “อาจารย์มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ” อดีตอธิบดีศาลอาญา อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา และประธาน นปก

'อิ๊งค์' ร่วง! ชำแหละ 2 ฉากทัศน์ 4 ข้อหลักกฎหมาย

นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ "นายกฯ แพทองธาร จะรอดหรือร่วงในวันที่ 29 สิงหาคม 2568"

อดีตผู้พิพากษาฯ ผวา! ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ รอบใหม่ หลังเงินสำรองปท.ยุครบ.อิ๊งค์ลดลง

ถ้ารัฐบาลนี้ที่มีนายทักษิณเป็นผู้ควบคุมเอาเงินสำรองระหว่างประเทศไปแจกประชาชนเพื่อหาเสียงดังที่นายพิชัยกล่าว

โดนอีกคดี! ศาลอาญาสั่งจำคุก 20 ปี 'บรรยิน' ผิดฟอกเงิน โอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดำฟ 48 /2565ที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายบรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์

บุกค้นบ้าน 'เจ๊อ้วน' เมียเสี่ยบ่อนไก่ หลังคนร้ายซัดทอดผู้จ้างวานฆ่าฝังดิน

พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ์ เลี่ยมสงวน ผบก.กองบังคับการสืบสวน ภ.8 พร้อมตำรวจกองปราบ ได้เดินทางด่วนมากับเฮลิคอปเตอร์ มาลงที่สนามหน้าสถานีตำรวจภูธรนาสัก อ.สวี จ.ชุมพร จากนั้นได้ร่วมกับชุดสืบสวน ภ.จว.ชุมพร และตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน