27 มิ.ย.2566- พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ กรณีมีผู้ใช้ Facebook รายหนึ่ง ได้นำหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ของตนไปตรวจสอบในระบบ หรือแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ พบว่าหมายเลขบัตรประชาชนของตนได้ถูกนำไปเปิดใช้บริการกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือกว่า 30 หมายเลข โดยที่ตนไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการแต่อย่างใดนั้น ว่าในปัจจุบันประชาชนสามารถเข้าถึง ตรวจสอบข้อมูล ขอเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือทำธุรกรรมการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือหรือผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยสะดวก รวมไปถึงการเปิดใช้งานลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของผู้ให้บริการ ซึ่งอาจจะเป็นช่องทางหนึ่งให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสนำข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่ได้มาด้วยวิธีการต่างๆ มาแสวงหาผลประโยชน์โดยผิดกฎหมาย
การกระทำดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายความผิดฐาน “ นำบัตร หรือใบรับหรือใบแทนใบรับของผู้อื่นไปใช้แสดงว่าตนเป็นเจ้าของบัตรหรือใบรับหรือใบแทนใบรับ ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 มาตรา 15 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท, เอาไปเสียซึ่งเอกสารใดของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตาม ป.อาญา มาตรา 188 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 100,000 บาท และปลอมและใช้เอกสารปลอม ตาม ป.อาญา มาตรา 264, 268 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ” และฐานความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าวต้องไปตรวจสอบกับผู้ให้บริการว่า ในการเปิดใช้งานหมายเลขโทรศัพท์มือถือต้องใช้เอกสารใดบ้าง ผู้ใดเป็นผู้ขอเปิดใช้บริการ มีการขอเปิดใช้ในลักษณะใด แบบรายเดือน หรือแบบเติมเงิน และผู้ใดเป็นผู้ชำระค่าบริการ ฝากไปยังเตือนประชาชนในการใช้งาน หรือเข้าถึงเว็บไซต์ หรือบริการต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ ควรตรวจสอบให้ดีเสียก่อน ระมัดระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน ซึ่งมิจฉาชีพอาจฉวยโอกาสหลอกเอาข้อมูลเหล่านี้ไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างได้ และหากประชาชนท่านใดตรวจสอบพบในลักษณะดังกล่าว ให้รีบติดต่อกับผู้ให้บริการเพื่อทำการปิด หรือยกเลิกหมายเลขที่ไม่ได้ใช้งานทันที
ทั้งนี้ ขอฝากประชาสัมพันธ์แนวทางป้องกันมิจฉาชีพนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ ดังนี้
1.ไม่ควรให้บัตรประชาชน หรือข้อมูลส่วนบุคคลกับผู้ใด และหลีกเลี่ยงการเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์
2.รับรองสำเนาบัตรประชาชนให้ถูกต้อง โดยต้องขีดคร่อมกำกับว่าใช้เพื่อธุรกรรม หรือวัตถุประสงค์ใด รวมถึงระบุวันเดือนปีที่รับรองสำเนาดังกล่าว
3.อย่าถ่ายภาพ หรือให้ข้อมูลหลังบัตรประชาชนให้ผู้ใดอย่างเด็ดขาด
4.ระวังการเข้าสู่เว็บไซต์ปลอมหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล ในการเข้าใช้งานเว็บไซต์ใดๆ ขอให้พิมพ์ หรือกรอกชื่อเว็บไซต์ด้วยตนเอง
5.ไม่คลิกลิงก์ที่แนบมากับอีเมล หรือข้อความสั้น (SMS) ไม่ทราบเเหล่งที่มาและไม่น่าเชื่อถือ โดยเฉพาะที่เป็นการสำรวจข้อมูล กรอกแบบสอบถามต่างๆ เพราะอาจเป็นการดักรับข้อมูลของมิจฉาชีพ
6.ควรกรอกข้อมูลเท่าที่จำเป็นเท่านั้น หากไม่แน่ใจให้ติดต่อสอบถามกลับไปยังหน่วยงานนั้นๆ โดยตรง
7.หลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะ เพื่อป้องกันการดักจับข้อมูลส่วนบุคคล
8.ตรวจสอบการอัปเดตบนระบบปฏิบัติการ และตั้งค่าเบราว์เซอร์ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แนะประชาชน ต้องรู้ทัน ไม่หลงเชื่อกลโกงมิจฉาชีพ
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่ยังพบมีการหลอกลวงประชาชนจากมิจฉาชีพอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมระบุ ในช่วงตั้งแต่
ดีอี เตือนระวัง 'มิจฉาชีพ' ใช้กลลวง หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หลอกให้รัก
AOC 1441 เปิดเผย 5 เคสตัวอย่าง หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หลอกให้รัก หลอกให้ซื้อตุ๊กตาลาบูบู้ (Labubu) สูญเงินเกือบ 4 แสนบาท
จนท.ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กว่า 6 พันชิ้น ซุกริมแม่น้ำโขง
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)และกรมศุลกากร ภายใต้อำนวยการพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. , นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรม
รวบแก๊งอ้างเป็นนายแพทย์ทหาร หลอกอาจารย์สาวมหาลัยดังให้รัก สูญกว่า 3 ล้าน
พ.ต.ท.ราชัญ ลำใย รอง ผกก.2 บก.สอท.4 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าจับกุม น.ส.อรนิภา(สงวนนามสกุล) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม
จ่อหมายจับนักการเมืองท้องถิ่นคนดัง บงการแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีน-ไทย
พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผช.ผบ.ตร. พร้อมพล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 ,พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 , พล