ศาลนัดฟังคำสั่ง ‘โจ๊ก’ ฟ้องหมิ่น ‘อัจฉริยะ’ 6 ส.ค. ‘บิ๊ก ตร.’ ย้อนถามกลุ่มนายพลชลบุรีโดนคดีกลับไม่ถูกปลดออก ปัดมีคนเรียกเงิน 10 ล้าน แลกแฉนายพล
8 ก.ค. 2567 – ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องในคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ยื่นฟ้องบริษัทสี่พระยาการพิมพ์ จำกัด เเละนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐาน หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
โดยวันนี้นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางมายังศาลอาญาพร้อมทนายความ เพื่อซักค้านในการไต่สวนมูลฟ้องวันนี้
โดยนายอัจฉริยะ กล่าวว่า เป็นคดีที่สองแล้ว ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยื่นฟ้องตน ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้พูดถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่กลับโดนฟ้อง จึงมองว่าเป็นการฟ้องแบบหาเรื่อง หากไปดูในคำฟ้องมั่นใจอยู่แล้วว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แต่เป็นการพูดถึงแค่ลูกน้องเท่านั้น อย่างไรก็ตามตนไม่มีปัญหาเพราะสู้คดีได้อยู่แล้ว นอกจากนี้นายอัจฉริยะยังฝากถามไปถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกี่ยวกับกรณีที่มีบุคคลหนึ่งไปเรียกเงินจำนวน 10 ล้านบาท จาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อแลกกับการแฉ นายพลตํารวจระดับสูง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนายอัจฉริยะอ้างว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นคนไปเล่าให้ พล.ต.ต.นำเกียรติ ลูกน้องคนสนิทฟัง จากนั้น พล.ต.ต.นำเกียรติ ก็นํามาเล่าให้ตนฟังอีกที โดยบอกว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่ได้ให้เงินจำนวนดังกล่าวกับบุคคลนั้นไป ซึ่งตนอยากรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นใครและเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องจริงเหตุใดถึงไม่ดำเนินการตามกฏหมาย
ส่วนเรื่องดีลที่นายอัจฉริยะอ้างว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขอให้ตนเป็นตัวกลางประสานกับนายพลตํารวจระดับสูงเพื่อเคลียร์ปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งต่อมาทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าไม่เคยคุยเรื่องนี้กับนายอัจฉริยะ โดยนายอัจฉริยะระบุว่าถ้าไม่มีดีลจะเลื่อนศาลทำไมตั้งหลายครั้ง และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็เป็นฝ่ายขอเลื่อนเอง
ทั้งนี้ภายหลังนายอัจฉริยะให้สัมภาษณ์เสร็จได้เดินขึ้นศาลทันที เพื่อเตรียมตัวเข้าห้องพิจารณาคดี ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินทางมาถึงศาลอาญาพอดี โดยจังหวะที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินลงมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนนั้นได้เดินสวนกับนายอัจฉริยะ โดยทั้งคู่มีท่าทีเมินเฉยต่อกัน
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันนี้มาตามที่ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ซึ่งตนเองเคยบอกแล้วว่าถ้ามีอะไรมากระทบสิทธิก็จะดำเนินคดีแจ้งความที่โรงพักหรือยื่นฟ้องตามกระบวนยุติธรรม โดยคดีนี้ตนเองเลือกที่จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงสำนวนคดีที่ตำรวจเกี่ยวข้องส่วยเว็บพนันออนไลน์ว่า ที่พนักงานสอบสวนสั่งฟ้องลูกน้องผมไปทั้ง 8 คน ไปยังอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต วันนี้อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าสำนวนคดีเหล่านี้เป็นอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ใช่อำนาจของตำรวจที่จะสั่งฟ้องเอง เนื่องจากเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ระบุว่าหากเป็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนรวบรวมหลักฐานในเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะให้ออกหมายเรียก หมายจับ สุดท้ายจะเห็นว่าหลักกฎหมายมีหลักเดียว อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่าสำนวนคดีนี้ ไม่ได้อยู่ในอำนาจของอัยการ เป็นอำนาจของป.ป.ช. ก็เลยส่งคืนสำนวนไปให้พนักงานสอบสวน ดังนั้นพนักงานสอบสวนก็ต้องส่งสำนวนกลับไปยัง ป.ป.ช.
ทั้งนี้ ตำรวจจะสอบสวนได้เฉพาะคดีความผิดอาญาลัก วิ่ง ชิง ปล้น ก็ว่าไป แต่ถ้าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ยังไงก็ต้องส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช.ภายใน 30 วัน ไม่ใช่ตำรวจจะดึงไปสอบเอง แล้วทำผิดฝาผิดตัว ส่งสำนวนคดีไปให้อัยการ ดังนั้นอัยการจึงไม่เอาด้วย ก็จะต้องส่งสำนวนกลับไปให้พนักงานสอบสวน ทั้งนี้ตนได้กล่าวหาพนักงานสอบสวนทั้งชุดแล้วว่าดำเนินการสอบสวนโดยมิชอบ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี จนถึงระดับรองผู้บังคับการจังหวัด และระดับสารวัตร โดนคำสั่งฟ้อง 20 กว่าราย ซึ่งคดีนี้เดิมตนเองเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนต่อมาเปลี่ยนเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน แล้วได้มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวนร่วมกับอัยการสุดท้ายก็มีการสั่งฟ้อง จึงมีคำถามว่าเมื่อสั่งฟ้องข้อหาคดีอาญา เป็นคดีที่ประชาชนสนใจทั้งประเทศ มีผู้เสียหายชัดเจน แล้วจะต้องออกจากราชการไว้ก่อนหรือไม่ ตนเองกำลังชี้ให้เห็นว่าทำไมไม่สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนเหมือนกับตนเอง ที่นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาของตำรวจ พูดว่าจะให้ความเป็นธรรม ก็เป็นเพียงแค่คำพูด วลี หรือวาทกรรม
ซึ่งการดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้เริ่มบิดเบี้ยวตั้งแต่การสอบสวนแล้ว จะเห็นได้ว่ากรณีที่พบเห็นเส้นทางการเงินมากว่า 300 ล้านบาท จะต้องส่งสำนวนการสอบสวนให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ไม่ส่ง และเมื่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช. ก็พยายามดึงไว้ทำเอง ออกหมายเรียก หมายจับ ดังนั้นการสอบสวนจะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นองค์กร บ้านเมือง และประชาชนจะอยู่ยังไง และปฏิเสธว่าตนเองกับนายอัจฉริยะ ไม่เคยคุยกัน และไม่ได้ขอให้นายอัจฉริยะ มาเป็นคนกลางเพื่อติดต่อกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ตนเองดำเนินการทุกอย่างไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และปฏิเสธว่า ไม่เคยมีใครเรียกเงิน 10 ล้าน เพื่อแลกกับการแฉนายตำรวจระดับสูงแต่อย่างใด
ที่ห้อวพิจารณาคดีศาลออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนมูลฟ้องวันนี้ โจทก์ ทนายโจทก์ ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ทนายจำเลย 1,2 มาศาลไต่สวนพยานโจทก์จนจบ 1 ปาก ระหว่างไต่สวน ทนายโจทก์อ้างส่งเอกสารประกอบการไต่สวน 2 ฉบับ ศาลรับไว้ ส่วนทนายจำเลยที่ 2 อ้างส่งเอกสาร ประกอบการถามค้าน 3 ฉบับ ศาลรับไว้ เเละหมายเอกสารให้อีกฝ่ายดูแล้ว ให้รวมสำนวนแล้วทนายโจทก์แถลงหมดพยานในชั้นนี้ เพียงเท่านี้
คดีเสร็จการไต่สวน นัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งในวันที่ 6 ส.ค. เวลา 09.00 น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนยาว สรรหา 3 ป.ป.ช.ไปปีหน้า
หลังจากที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเปิดรับสมัครบุคคลเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งช
'บิ๊กอ้อ' ลุยปราจีนฯ คุมสางคดีฆ่า 'สจ.โต้ง' มั่นใจหลักฐานพอ ไม่พึ่งวงจรปิด
'บิ๊กอ้อ' บินสางปมยิง 'สจ.โต้ง ปราจีน' เชื่อชนวนเหตุสังหารจากการเมืองท้องถิ่น มั่นใจหลักฐานเพียงพอ แม้วงจรปิดที่เกิดเหตุเสีย
เด็ดปีก 'มังกรเทาดำ' ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดทรัพย์ 152 ล้าน
ตำรวจภาค 2 เด็ดปีก 'มังกรเทาดำ' ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เปิดบริษัทฟอกเงิน ยึดทรัพย์คฤหาสน์-รถหรู 152 ล้านบาท
ตั้งป้อมชน 'ระบอบทักษิณใหม่' ประเดิม 18 ธ.ค. บุก ป.ป.ช. หึ่งล็อบบี้หนักล้มคดีชั้น 14
วงหารือฝ่ายต้านรัฐบาล ตั้งป้อมชน 'ระบอบทักษิณใหม่' นำร่อง 18 ธ.ค. บุกตึก ป.ป.ช. หลังได้กลิ่นล็อบบี้หนัก 3 กรรมการฯ ล้มคดีชั้น 14
'ไอซ์ รักชนก' รอดศาลไม่เพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี 112
'ไอซ์ รักชนก' รอดศาลไม่เพิกถอนปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี 112 ระบุเป็นการแสดงความเห็นทั่วไป เเต่สั่งกำชับ ปฏิบัติตามเงื่อนไขเคร่งครัด
รวมพลังไทย “สู้ให้สุด หยุดการโกง” ในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย)
ฮอลล์ 7 อาคารศูนย์การประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี : 9 ธันวาคม 2567 - รัฐบาล ร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน