
เป็นดินเนอร์ที่หวานฉ่ำ โต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคของพรรคร่วมรัฐบาลนั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตา ขาดเพียง ‘เสี่ยต่อ’ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ และแม่บ้านพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่ติดภารกิจไปต่างประเทศ ไม่สามารถมาร่วมวงโซ้ยเซตอาหารจีน ที่มี ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นเจ้าภาพ ในค่ำคืนที่อากาศอบอ้าว บนพื้นที่สโมสรราชพฤกษ์
แต่รสชาติอาหารคงไม่อร่อยเท่ากับรสชาติบทสนทนาของคน 10 คน ที่มีพี่น้อง 3 ป. ‘บิ๊กตู่’ – ‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ‘บิ๊กป๊อก’ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นแกนกลางของโต๊ะ
กับนักการเมืองอาชีพระดับคีย์แมนของพรรคการเมืองอีก 7 คน ได้แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา
การสนทนาบนโต๊ะอาหารกินเวลาตั้งแต่ 18.00 น. เรื่อยไปเกือบ 21.00 น. หรือราว 2 ชั่วโมง โดยมีเมนูหลักคือ สถานการณ์การเมือง และสถานการณ์ของรัฐบาล
และเป็นไปตามคาดว่า ภาพและบทสนทนาที่ถูกคัดออกมาให้คนภายนอกได้เห็นคือ ทุกอย่างดูหวานชื่น ทุกพรรคร่วมรัฐบาลยังสนับสนุน ‘บิ๊กตู่’ เพื่ออยู่ให้ครบเทอม
เช่นเดียวกับภาพ ‘น้องตู่’ กับ ‘พี่ป้อม’ โอบกอดกันโชว์สื่อมวลชน ท่ามกลางการรายล้อมของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ที่ดูเหมือนช่างเป็นค่ำคืนที่แสนสุข
แต่นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวบนโต๊ะอาหารกว่า 2 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะบทสนทนาที่ไม่ผ่านการคัดกรองให้หลุดออกมายังมีอีกเยอะ
เหตุเพราะดินเนอร์วีไอพีดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อสยบข่าวคราวความขัดแย้งและประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลตลอดช่วงที่ผ่านมา ทั้งประเด็นความสัมพันธ์ 3 ป. ทั้งการงัดง้างกันระหว่าง 3 ป. กับพรรคภูมิใจไทย ประเด็นสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
ทั้งเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาล ส.ว.บางส่วน หักประกาศิต ‘บิ๊กป้อม’ สกัดไม่ให้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชารัฐ เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญกฎหมายลูก 2 ฉบับ ทั้งเรื่องเนื้อหาในกฎหมายลูก 2 ฉบับ ทั้งเสียงในสภา ที่พรรคเศรษฐกิจไทยทำตัวเป็นหอกข้างแคร่ ทั้งเรื่องข่าวลือยุบสภาหนีอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนพฤษภาคม
คนนอกโต๊ะอาหารจึงรู้เท่าที่คนในโต๊ะอยากให้รู้
จะสังเกตเห็นได้ว่า การรับประทานอาหารของพรรคร่วมรัฐบาลทุกครั้ง แม้จะเป็นประเพณี แต่ทุกครั้งเกิดขึ้นในช่วงที่มีความระหองระแหงและไม่เข้าใจกันภายในองคาพยพ เช่นเดียวกับครั้งก่อนเมื่อปลายปี 2562 ที่เป็นช่วงพรรคเล็กเคลื่อนไหวปั่นป่วน
ขณะที่ครั้งนี้มันน่าสนใจตั้งแต่ ‘แขกร่วมโต๊ะ’ ที่ได้รับเชิญจาก ‘บิ๊กตู่’ ที่จำกัดอยู่แค่ 4 พรรค ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ล้วนเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ในรัฐบาลเท่านั้น
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อย่าง พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรคชาติพัฒนา ที่มี ส.ส.มากกว่า 1 คน กลับไม่ได้รับเชิญมางานนี้แต่อย่างใด
จึงพอทำให้เห็นว่า มันเกิดความไม่แน่ใจ หรือไม่ไว้วางใจต่อกันเกิดขึ้นจริงๆ จึงเลือกที่จะรับประทานวงเล็ก เน้นไปที่พรรคขนาดใหญ่ที่เดินซ้าย เดินทางขวา มีผลกระทบกับรัฐบาล
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นที่ไม่ได้รับเชิญเอง ทั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังท้องถิ่นไท และพรรคชาติพัฒนา ที่ไม่ได้เชิญมาด้วย ก็เพราะมั่นใจได้อยู่แล้วว่า อยู่กับ ‘บิ๊กตู่’ แน่ๆ
‘บิ๊กตู่’ เองพยายามจะสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นมาเพื่อลดแรงกระเพื่อมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่สัปดาห์ก่อนที่เดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันกับ ‘บิ๊กป้อม’ ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อกลบภาพความขัดแย้งของพี่น้อง 3 ป.
ในขณะที่ครั้งนี้ก็ต้องการกลบภาพความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยข่าวเสี้ยม ข่าวยุแยงตลอดช่วงที่ผ่านมา
แล้วการที่ 3 ป.พร้อมหน้า ต่อหน้าแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ก็อาจต้องการจะส่งสัญญาณให้พรรคร่วมรัฐบาลรู้ว่า พวกเขา 3 คนยังแน่นปึ้ก เพื่อทำให้ดูน่าเกรงขามอีกครั้ง
3 ป.น่าจะรู้แล้วว่า การที่ปล่อยให้ปัญหาภายในวงศ์วานเรื้อรัง มันทำให้ตัวเองอ่อนแอ ในขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล และศัตรูกลับเติบโตจนมาขี่คอ
หากยังแยกกันเดิน ก็จะเริ่มถูกสั่นคลอนและท้าทายทั้งจากคนกันเองและศัตรู.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


