
การประชุมใหญ่สามัญ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 3 เมษายน ไม่ได้มีนัยพิเศษอะไร นอกจากการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค 4 ตำแหน่ง แทน 4 อดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกขับออกไป
4 กรรมการบริหารพรรคป้ายแดง 2 ใน 4 เป็นคนหน้าเดิมที่เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคชุดแรก สมัยมีนายอุตตม สาวนายน เป็นหัวหน้าพรรคมาแล้ว ได้แก่ ปลัดโด่ง-วิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตนายทะเบียนพรรค และนายพรชัย ตระกูลวรานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตเหรัญญิกพรรค
2 คนเป็น ส.ส.สายเฮียกวง-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ภายหลังการยุบสภาจะย้ายไปอยู่กับพรรคสร้างอนาคตไทย ที่มีนายอุตตม และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
แต่ที่ถูกจับจ้องมากที่สุดคือ 2 อดีตนายทหาร คนในบ้านป่ารอยต่อฯ ของ บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานอยู่หลังบ้านมาตลอด แต่ครั้งนี้ถูกดึงขึ้นมาอยู่หน้าฉาก
คนแรกคือ บิ๊กอี๊ด-พล.อ.ธัญญา เกียรติสาร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และคนที่สองคือ เสธ.โย-พล.อ.กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ อนุกรรมการฝ่ายหารายได้ มูลนิธิป่ารอยต่อฯ
2 ชื่อนี้อาจไม่เป็นที่รู้จักนักในหน้าสื่อ แต่สำหรับคนการเมือง โดยเฉพาะคนในพรรคพลังประชารัฐ ต่างรู้จักกันดี สามารถเรียก ‘พี่โย-พี่อี๊ด’ แบบเป็นกันเอง
อย่างค่ำวันเสาร์ ก่อนการประชุมพรรคพลังประชารัฐ 1 วัน ‘บิ๊กอี๊ด’ ก็ไปปรากฏตัวนั่งรับประทานดินเนอร์ร่วมกับ ส.ส. ที่บ้าน ‘รัตนเศรษฐ’ ในตัวเมืองโคราช รังของ เสี่ยปาน-วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อและอดีตประธานวิปรัฐบาล ที่เปิดบ้านต้อนรับ ส.ส.และสมาชิกในฐานะเจ้าภาพ
เช่นเดียวกับในการประชุมใหญ่สามัญพรรคพลังประชารัฐในวันอาทิตย์ ที่ทั้ง ‘เสธ.โย-บิ๊กอี๊ด’ ต่างเดินทางมาร่วม บรรดาสมาชิกและ ส.ส.ต่างเข้าไปทักทายจำนวนมาก
สาเหตุที่อดีตนายทหาร ยศ พล.อ. 2 รายนี้ รู้จักมักจี่เหล่านักการเมืองในพรรคพลังประชารัฐเป็นอย่างดี นั่นเพราะเป็นมือทำงานของ 'บิ๊กป้อม’
สำหรับ ‘บิ๊กอี๊ด’ เป็นน้องรักของ “บิ๊กเยิ้ม”-พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิกวุฒิสภาและอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และเพื่อนสนิท ตท.12 ของ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม
‘บิ๊กเยิ้ม’ เป็นผู้มีอิทธิพลและกว้างขวางในแวดวงท็อปบูตภาคอีสานมายาวนาน ขณะเดียวกัน ยังเป็นผู้ผลักดันให้ ‘บิ๊กอี้ด’ เติบโตในเส้นทางราชการจนขึ้นมาถึง ‘แม่ทัพภาค’ แม้ชีวิตจะพลิกผันในช่วงดำรงตำแหน่งรอง ผบ.พล.ร.6 ไม่ได้ขยับขึ้นไป และถูกเตะไปนั่ง ผบ.พล.พัฒนาที่ 2 ช่วงลมเปลี่ยนทิศไปฝั่ง พล.ร.3 แต่ก็เป็นจังหวะที่ดี เพราะกลไกหน่วยทหารด้านการพัฒนาจะใช้ขับเคลื่อนงานการเมืองได้ง่าย
ในการเลือกตั้งเมื่อปี 62 ตรงกับช่วงที่ ‘บิ๊กอี๊ด’ เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 มีกระแสข่าวว่า เขามีบทบาทอย่างมากในสนามเลือกตั้งภาคอีสานของพรรคพลังประชารัฐ และถูกส่งไปเจาะพื้นที่สีแดง เพียงแต่กระแสความนิยมทักษิณ ชินวัตร ที่ยังแรง ทำให้พรรคพลังประชารัฐช่วงชิงพื้นที่มาไม่ได้มากนัก
ขณะที่พื้นที่สำคัญอย่าง จ.นครราชสีมา ‘บิ๊กอี๊ด’ ก็มีส่วนช่วยชิงเก้าอี้ ส.ส.มาได้ แต่เพียงไม่กี่ตัว และมาจากเครือข่ายส่วนตัวด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี แม้ ‘บิ๊ดอี้ด’ จะไม่อยู่ในราชการ จนดูเหมือนไร้บารมีในพื้นที่ แต่หากดูวัฒนธรรมของทหารที่ดูแลสนับสนุนลูกน้องกันเป็นทอดๆ ทำให้เขายังมีเพาเวอร์อยู่
อย่างในการเลือกตั้งซ่อมพื้นที่ จ.ชุมพรที่ผ่านมา มีข่าวว่า มีนายทหารระดับผู้บังคับหน่วย ที่เรียกกันว่า ‘เสธ.ต. ทหารม้า’ กับ ‘เสธ.ต.’ ทหารราบ ลงพื้นที่เข้าไปกดดันหัวคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะไม่มีหลักฐานในการเอาผิดและเจ้าตัวปฏิเสธ
ด้านบทบาทหน้าที่ของ ‘บิ๊กอี้ด’ ในการทำงานให้กับพรรคพลังประชารัฐ หลักๆ จะอยู่ที่พื้นที่อีสาน โดยในช่วงหลังที่ ‘บิ๊กป้อม’ มักใช้การส่งน้องรักที่ไว้ใจ ซึ่งเป็นทหารนอกราชการเข้ามาคุมกลไกการบริหารจัดการน้ำ โดยแบ่งเป็นรายภาค ‘บิ๊กอี๊ด’ ก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลแก้ปัญหาน้ำในภาคอีสาน
ขณะที่ ‘เสธ.โย’ นี่คือนายทหารคนสนิทของ ‘บิ๊กป้อม’ ที่สมาชิกและ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ รับรู้กันในฐานะ ‘เสนาธิการประจำตัวของนาย’
‘เสธ.โย’ คือ ฝ่ายปฏิบัติที่ ‘บิ๊กป้อม’ ไว้ใจที่สุดในรอบ 3 ปีมานี้ หาก ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐต้องการอะไร แล้วไปขอความช่วยเหลือ ‘บิ๊กป้อม’ หาก ‘บิ๊กป้อม’ ไฟเขียว คนนำไปปฏิบัติ จัดการให้สำเร็จคือ ‘เสธ.โย’
จนถึงขนาดมีการพูดกันว่า “นายป้อมว่าอย่างไร พี่โยว่าอย่างนั้น สิ่งไหนที่นายป้อมตัดสินใจ พี่โยนำไปปฏิบัติ” นอกจากนี้ ยังเป็นคนที่เดินเคียงข้างหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในทุกพื้นที่
ส.ส.ในพรรคค่อนข้างสนิทกับอดีตบิ๊กทหารรายนี้ และเรียกว่า ‘พี่โย’ ทุกคำ เพราะวางตัวดี ไม่โอเวอร์ ไม่เคยปิดกั้น กีดกัน หรือจัดระเบียบ ส.ส.ในการเข้าพบ หรือจะขออะไรกับ ‘บิ๊กป้อม’ เลย
เป็นคนที่อยู่ในโครงสร้างการทำงานของพรรคมาโดยตลอด ฉะนั้น การดึงขึ้นมาอยู่หน้าฉากจึงไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่
การแต่งตั้งอดีตนายทหารมือทำงานครั้งนี้ ยังเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า พรรคพลังประชารัฐจะยังมีตัวตนในสนามเลือกตั้ง หลังจากช่วงที่ผ่านมามีความสับสนไม่มั่นใจในอนาคตกัน
เหมือนกับที่ ‘บิ๊กป้อม’ ย้ำว่า มันคือบ้าน และจะทำให้เป็นสถาบันทางการเมือง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
‘เฉลิม’ ยืนยันลาออกพ้นเพื่อไทย เตรียมย้ายซบพลังประชารัฐ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เผยเซ็นลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว เตรียมยื่น กกต. วันที่ 3 ธ.ค. ย้ำเป็นเหตุผลทางการเมือง ไม่มีการแจ้งแพทองธาร และยังไม่ได้คุยกับวัน อยู่บำรุง ก่อนประกาศชัด
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก


