
การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ในวาระสอง ตลอดช่วงสองวันที่ผ่านมาคือ 9-10 มิ.ย.เป็นไปอย่างล่าช้า เพราะผ่านไปสองวันพิจารณาได้แค่ประมาณ 14 มาตรา จากที่มี 172 มาตรา ยังต้องมีการพิจารณาอีกร่วม 158 มาตรา ที่ทำให้มีแนวโน้มว่าหากไม่เร่งสปีดการพิจารณาให้เร็วขึ้น จากเดิมที่คิดกันว่าจะพิจารณาเสร็จวาระ 2 และวาระ 3 ภายในสัปดาห์นี้ 16-17 มิ.ย. ก็เป็นไปได้ว่าอาจต้องยกไปต่อในสัปดาห์หน้า
ที่ก็ไม่ได้มีหลักประกันว่าจะเสร็จหรือไม่ หากว่าสมาชิกรัฐสภาไม่เร่งการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่สังคมกำลังจับตากันอยู่ว่าจะเป็นร่างกฎหมายที่เมื่อประกาศใช้แล้ว จะนำไปสู่การปฏิรูปวงการสีกากีได้จริง หรือแค่ปฏิลวงตำรวจ อย่างที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึงในช่วงที่ผ่านมา หลังหลายฝ่ายเห็นเนื้อหาในร่างแล้วพบว่า แม้จะมีการยกร่างที่มีเนื้อหาโดยรวมซึ่งก็ถือว่าดีขึ้นกว่า พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน โดยเฉพาะการวางโครงสร้างเรื่องหลักประกัน "การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ" ที่น่าจะดีขึ้นกว่าระบบที่ใช้ในปัจจุบัน
ซึ่งสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ตำรวจที่มีร่วม 172 มาตรา มีสาระสำคัญหลายเรื่องที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นย่อยๆ ที่ถือเป็นสีสันและน่าโฟกัสถึงไม่น้อย เพราะเป็นเรื่องใหม่และไม่คาดคิดกันว่าจะนำมาเขียนไว้ในร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ อย่างเช่นเรื่อง "หลักเกณฑ์การส่งตำรวจไปติดตามรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ"
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่า ส่วนใหญ่ก็คือนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นในทุกยุคทุกสมัย และมีตำรวจหลายนายได้ดิบได้ดีกันทั่วหน้า บางคนก็เติบโตแบบก้าวกระโดด ก็เพราะเป็นตำรวจติดตามนักการเมือง แล้วนักการเมืองก็ช่วยเหลือให้ได้ตำแหน่งดีๆ โดยพบว่าในร่าง พ.ร.บ.นี้ กรรมาธิการเสียงข้างมากได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในมาตรา 84 มีเนื้อหาโดยสรุปคือ
"การสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญตามตำแหน่งที่ ก.ตร. กำหนด ให้เป็นไปตามระเบียบที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนด ซึ่งต้องเสนอ ก.ตร. เพื่อทราบและประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา
ทั้งนี้ จะสั่งได้เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวร้องขอโดยจะระบุตัวบุคคลมิได้ แต่ข้าราชการตำรวจที่ถูกสั่งนั้นต้องสมัครใจด้วย และเมื่อผู้ขอพ้นจากตำแหน่ง ให้สั่งให้ข้าราชการตำรวจ ที่ไปรักษาความปลอดภัยนั้นกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ ผู้ขอพ้นจากตำแหน่ง แต่ถ้าผู้ขอเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุก ถ้าผู้นั้นได้ร้องขอให้รักษาความปลอดภัยต่อไป จะสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปรักษา ความปลอดภัยผู้ขอนั้นต่อไปอีกก็ได้”
ประเด็นดังกล่าว มีสมาชิกของรัฐสภาบางส่วน ที่นั่งเป็น กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่าที่เขียนไว้เช่นนี้เป็นเพราะกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง ตำรวจไปติดตามนักการเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะเสียงวิจารณ์เรื่องความไม่เหมาะสมที่ตำรวจไปติดตามนักการเมืองวีไอพีบางคน
ที่ดูแล้วคงจะเป็นใครไปไม่ได้ เพราะการที่เขียนถึงขั้นลงรายละเอียดว่า “อดีตนายกฯ ที่จะขอตำรวจติดตามได้ ต้องไม่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุด”
กรณีดังกล่าวฟันธงได้ว่า คงไม่พ้นกรณี "อดีตผู้กำกับหนุ่ย-พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย" อดีตนายตำรวจติดตาม "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องโทษจำคุกคดีจำนำข้าว ซึ่งหลังที่ยิ่งลักษณ์หนีคดีไปต่างประเทศ ก็มีอยู่บางช่วงมีภาพปรากฏว่า พ.ต.อ.วทัญญู ที่ตอนนั้นเป็นผู้กำกับการฝ่ายวิจัยและพัฒนา กองพัฒนาการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ไปเดินตามยิ่งลักษณ์ที่ต่างประเทศ
จนต่อมาช่วงปลายปี 2562 อดีตผู้กำกับหนุ่ยถูกตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกรณีปรากฏภาพติดตามยิ่งลักษณ์ ไปชมการแข่งขันฟุตบอลโลกที่รัสเซีย จนมีเสียงวิพากษ์กันไปทั่ว ที่สื่อรายงานว่า พ.ต.อ.วทัญญูเดินทางออกนอกประเทศ 9-10 ครั้ง โดยไม่ขออนุญาตผู้บังคับบัญชา และไม่มีการลาราชการ จนหน่วยงานต้นสังกัดคือสำนักงานตำรวจสันติบาล มีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่ง พ.ต.อ.วทัญญูยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. แต่ทว่าเมื่อพฤศจิกายน 2564 กลับปรากฏว่า พ.ต.อ.วทัญญูได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้กำกับการ เป็นรองผู้บังคับการกลุ่มงานผู้เชี่ยวชาญการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล เรียกเสียงฮือฮาไปทั่ววงการสีกากี และคาใจคนจำนวนมากว่า "ทำไม อดีตผู้กำกับหนุ่ยที่เคยถูกตั้งกรรมการสอบวินัย กลับได้รับการเลื่อนขั้น"
จากประเด็นดังกล่าวเลยเป็นจุดที่ทำให้กรรมาธิการเสียงข้างมากร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ต้องนำเรื่องนี้มาเขียนไว้ในร่างดังกล่าว เพื่อเป็นกฎเหล็กคุมเข้มการส่งตำรวจไปติดตามนักการเมืองมากขึ้น
แม้ดูแล้วตามร่างดังกล่าวยังเปิดช่องให้หลบเลี่ยงได้อยู่ ในเรื่องการขอตำรวจไปติดตามนักการเมือง แต่กระนั้นการเขียนไว้ในตัวกฎหมายหลักอย่างใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ จึงไม่ใช่แค่การเขียนไว้เฉยๆ เพราะกฎหรือระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไงก็ย่อมดีกว่าแน่นอน ถ้าสุดท้ายมาตรา 84 ดังกล่าวในร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ไม่ถูกแก้ไขเสียก่อนในวาระสอง
โดยสิ่งที่ทำให้ต้องเขียนเรื่องนี้ไว้ในร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นกฎหมายหลักของตำรวจไทย ก็เป็นผลพวงมาจากเคสอดีตผู้กำกับหนุ่ย ตำรวจหน้าหยกผู้คอยติดตาม "ยิ่งลักษณ์" นั่นเอง
ขณะที่ พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ กล่าวไว้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ว่า ได้ขอสงวนความเห็นไว้ในมาตรา 143 วรรคสอง ของร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นมาตราเกี่ยวกับเรื่อง “ให้ตำรวจทุกเพศมีสิทธิและเสรีภาพในการไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ โดยสุภาพและเรียบร้อย การออกกฎ ระเบียบ หรือคำสั่งเกี่ยวกับทรงผมข้าราชการตำรวจ โดยให้จำกัดสิทธิและเสรีภาพได้เท่าที่จำเป็นเพื่อความสุภาพและเรียบร้อยเท่านั้น” เพราะไม่มีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องบังคับตำรวจชายตัดผมสั้นเกรียนเหมือนกันหมดอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ที่เชื่อว่าข้าราชการตำรวจจำนวนมากอึดอัดไม่พอใจ แต่ต้องจำทนกับคำสั่งดังกล่าว
สุดท้ายแล้ว การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ วาระสองและสามที่อาจจะไม่จบในสัปดาห์นี้ ประเด็นใหญ่และประเด็นย่อยต่างๆ จะได้รับการแก้ไขไปจากร่างของ กมธ.มากน้อยแค่ไหน ผู้สนใจก็รอติดตามกันได้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


