'บิ๊กตู่'สู้ยิบตา'ตีผ่าน'ศึกใน จัดการ'หอกข้างแคร่'ก่อนเดินตามธง

สถานการณ์รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในขณะนี้เหมือนเจอศึกรอบด้าน แถมศึกในจากปัญหาคนกันเองก็พอกพูนซับซ้อนมากขึ้น การจะเดินต่อไปในเส้นทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” จึงไม่ได้สดใส หรือมั่นคงด้วยนั่งร้านที่แข็งแกร่งเหมือนเดิม

อีกทั้งความไม่ชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะเลือกเส้นทางเดินทางการเมืองอย่างไร ทำให้กลุ่มการเมืองต่างๆ เกิดสภาวะละล้าละลังตามไปด้วยว่าจะวางสถานะตัวเองอยู่ตรงไหน ทำให้นักการเมืองหันรีหันขวาง ยังไม่กล้าตัดสินใจอนาคตของตัวเอง

โดยตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์เรื่องการเมือง แม้ผู้สื่อข่าวพยายามถามว่าจะมีความชัดเจนได้เมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ตอบเพียงว่า “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

แต่แน่นอนแล้วว่า คงไม่มีคำว่า ผมพอแล้ว หลุดออกมาจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงนี้ เนื่องจากมีสัญญาณที่บ่งชี้ให้เดินหน้าต่อ อีกทั้งการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นในผลงานจากการขับเคลื่อนประเทศให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จึงยังไม่มีเหตุผลที่เขาจะตัดสินใจถอย

"ผมตระหนักดีว่าบางครั้งความแข็งกร้าวของผมทำให้ผมต้องเสียเพื่อน แต่มันเป็นสิ่งที่ผมต้องยอมแลกเพื่อจะทำสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับประเทศให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ทั้งหมด ตั้งเป้าที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จเรียบร้อยภายในไม่เกิน 12 เดือนข้างหน้านี้ และเมื่อเราทำสำเร็จได้ก็จะเป็นเหมือนเราเร่งเครื่องผ่านเนินเขาช่วงที่ชันที่สุดไปได้ แล้วประเทศไทยก็จะวิ่งต่อไปข้างหน้า สู่การเป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกได้ในที่สุด" พล.อ.ประยุทธ์กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Accelerating Thailand (พลิกโฉมประเทศไทย)

ไทม์ไลน์สำคัญคงเป็นการที่ พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร ระหว่างการร่วมหัวจมท้ายกับพรรคพลังประชารัฐของ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่ถูกลูกหาบดันก้นในสูตร นายกฯ คนละครึ่ง คั่วเก้าอี้นายกฯ หลัง พล.อ.ประยุทธ์พ้นวาระ 8 ปี

หรือจะเดินหน้าหา กองหนุน ใหม่อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่สะสมสรรพกำลังนักการเมืองเพื่อรองรับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หน้าเก่า แต่ก็ยังมียี่ห้อ “กปปส.” เป็นเงาตามตัว

ซึ่งทั้งสองทางเลือกต่างก็มี “ข้อดี” และ "ข้อเสีย" ต่างกัน

หากย้อนดูวิธีคิดทางการทหารของ “ทหารเสือราชินี” ที่ผ่านสนามรบเขาพนมปะ ถูกปิดล้อมจากข้าศึก สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต โมเดลในการแก้ไขสถานการณ์คือ ชุดไหนอ่อนกำลัง ถูกโจมตี เสียหายหนัก ก็ต้องใช้ กองหนุน เพื่อตีผ่านข้าศึกออกจากสถานการณ์ตรงนั้นไปให้ได้

เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนนี้อยู่ในสภาพอ่อนแรง แถมยังเจอปัญหาขันที ปุโรหิต ยุแยงตะแคงรั่ว มุ่งหาประโยชน์จากส่วนเกินทางการเมือง เป็นโจทย์ใหญ่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องคิดหนักที่ต้องเดินเข้าไปเจอปัญหาเดิม

โดยเฉพาะปัญหา ป.ที่ 4 กับผู้กอง ที่ยังเป็น หอกข้างแคร่ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของ 3 ป.ไม่เหมือนเดิม เป็นปมปัญหาที่ต้องแก้ให้ตกเสียก่อน

ยังไม่นับกระแสพรรค-กระแสลุงตู่ที่ยังโงหัวไม่ขึ้น ประกอบกับขุนพลนำทัพที่ถูกส่งไปสู้ศึกก็ผิดฝาผิดตัว ส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตแม่ทัพนายกองจากขุมข่ายน้องรัก “ลุงป้อม” ซึ่งร้างสนามไปนาน ได้แต่นั่งประเมินสถานการณ์จากข้อมูลที่ไม่ได้เจาะลึก ภาพจำลองการรบจึงผิดเพี้ยน การลงไปคุมสภาพพื้นที่ “ฮาร์ดแลนด์” ทั้งอีสานและเหนือ จึงยากที่จะคว้าเก้าอี้ ส.ส.มาให้พรรคได้

ยิ่งตัวเลือกผู้สมัครที่ต้องยอมรับว่าดีกรีเป็นรองพรรคเพื่อไทย ส่วนหน้าใหม่ที่ผุดมาจากการเลือกตั้งท้องถิ่น ดูทรงแล้วก็คงฝ่ากระแส “ศึกชนช้าง” ระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทยได้ยาก

ทำให้เกิดกระแสข่าวทำนองว่า “บิ๊กป้อม” ต้องร้องหา “ผู้กองธรรมนัส พรหมเผ่า เข้ามาเป็นตัวช่วยทำงานใต้ดิน ซึ่งเป็นสูตรที่เชื่อได้ว่าเมื่อผสมผสานกับอำนาจรัฐจะสามารถเก็บแต้ม ส.ส.มาไว้ให้กับพรรคได้ไม่น้อย

แต่ต้องยอมรับว่ากระแสต้าน “ผู้กอง” แรงกว่าทุกครั้ง เนื่องจาก เข็ดขยาด กับภาพจำการก่อกบฏ สร้างรัฐอิสระหวังคว่ำ พล.อ.ประยุทธ์ ในสภามาก่อน

จึงไม่แปลกที่เกิดการวิเคราะห์ว่า ปฏิบัติการปิดท่อน้ำเลี้ยงและสกัดหอกข้างแคร่ไม่ให้เข้าพรรคเกิดขึ้นเป็นระยะ ทั้งจากมาตรการรัฐในการคุมสลากเกินราคาที่ปิดท่อได้บ้าง แต่ในที่สุดก็ไปปลิ้นออกจากช่องโหว่ทางกฎหมาย ปูพรมลงขันสลาก-พนันออนไลน์ในหลากหลายรูปแบบ โดยมี “ทุนจีน” ที่หากินจากทรัพยากรของประเทศมาเป็นแบ็กอัป

ในยุทธจักรนี้ต่างก็รู้ว่า เงินสีเทา อาณาจักรย่านรัชดาฯ ห้วยขวาง สุทธิสาร ใครเป็นคนคุม และมีเครือข่ายที่ได้รับอานิสงส์จากธุรกิจเหล่านี้

ข้อมูลเก่าที่มาเล่าใหม่ ผ่านจอมแฉอย่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ที่เห็นสถานการณ์กินรวบ ไม่กินแบ่ง ทำให้ทุนไทยสีเทาที่เบี้ยน้อยหอยน้อยสู้ไม่ไหว จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลหรือแม้กระทั่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์รู้มาตลอด ดังนั้นการจะเปิดฉากกวาดล้างจับกุมพื้นที่ใด จึงต้องมีการพล็อตจุดเป้าหมายให้ถูกต้อง โดยไม่กระทบคนสีเดียวกันที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่ด้วย ที่สำคัญคือต้องมี “ไฟเขียว” ผ่านตลอดให้ขุดรากถอนโคน

อาการดึ๋งดั๋งของ น.1 เลยไปถึง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผช.ผบ.ตร. ซี้ย่ำปึ้กกับทหารข้างกายนายกฯ รวมไปถึงการออกโรงของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ที่จัดใหญ่ เปิดปฏิบัติการ “เด็ดปีกมังกร” ทลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีข้าราชการตำรวจ กระทรวงพาณิชย์ และอาจมีเจ้าหน้าที่ธนาคารเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่ใช่เกิดจาก “หนองบัวลำภู เอฟเฟกต์" ที่ถูกสังคมตั้งคำถามเรื่องยาเสพติดและอาวุธปืนเท่านั้น แต่เป็นภาพใหญ่ในการขจัดท่อน้ำเลี้ยงที่ต่อท่อไปถึงใครบางคน และสามารถใช้ต่อรองในการตัดสินใจของ “บิ๊กป้อม” ได้พอสมควร

โดยเฉพาะปมร้อนเรื่องการ “ยุบพรรค” จากเงินบริจาค 3 ล้านบาทจากนักธุรกิจจีน สัญชาติไทย ที่ได้มาจากธุรกิจ "ผับศูนย์เหรียญ" พัวพันกับยาเสพติด บ่อนกาสิโนนั้น แม้ในที่สุดจะยุบพรรคไม่ได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคแกนนำที่สังคมต้องตั้งคำถาม

ขณะที่ “ศึกนอก” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งถือเป็นภารกิจ “ธงฟ้า” นำทางในการสลายขั้ว “เพื่อไทย-ก้าวไกล” ให้ลดพลังลง ยังคงเดินหน้าต่อไป

ยิ่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า นโยบายของพรรคก้าวไกลในการรุกคืบเสนอแก้ไขมาตรา 112 การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจเดิม กระทบต่อการดำรงอยู่ของสถาบัน การจับขั้วทางการเมืองที่มี “บิ๊กป้อม” ให้ได้จำนวนพรรคมากที่สุดจึงเป็นเรื่องจำเป็น นำไปสู่การวิเคราะห์อีกทางว่า ภาพ 3 ป.ที่ไม่แนบแน่นเหมือนเดิม เป็นการ “ลับลวงพลาง" อีกหรือไม่

ขณะที่ก้าวไกลตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวในการต่อสู้เรื่องดังกล่าว จึงหวังพึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเยาวชน “โหวตเตอร์” หลักในการขับเคลื่อน “จุดขาย” ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อวัดพลังว่ามีจำนวนมากน้อยแค่ไหน 

“หากพรรคการเมืองอื่นคัดค้านข้อเสนอการแก้ไข 112 เพราะเชื่อจริงๆ ว่าการหมิ่นประมาทสถาบันเป็นความผิดที่ร้ายแรงถึงขั้นสมควรโดนขังคุกถึง 3-15 ปี เชื่อจริงๆ ว่าการให้ใครฟ้อง 112 กับใครก็ได้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุดต่อการปกป้องชื่อเสียงของสถาบัน หรือเชื่อจริงๆ ว่าการแสดงความเห็นโดยสุจริตเกี่ยวกับสถาบันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำได้ในสังคมไทย ก็เคารพสิทธิของท่านที่จะคิดเห็นดังกล่าว" นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบาย พรรคก้าวไกล ระบุ

ความชัดเจนของสถานการณ์การเมืองหลังการประชุม “เอเปก” จึงจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น หลัง พล.อ.ประยุทธ์ประกาศชัดเจนว่าจะเลือกเส้นทางไหน จากนั้น “ทุนแถวหนึ่ง” ก็จะตั้งหลักเดินตามเส้นทางนั้น ส่วนนักการเมืองเห็นทิศทางลมชัดเจนก็ไม่ยากที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด

รอยปริร้าวของ “2 ลุง” จากเหล่าบรรดาคนใกล้ชิด จนผุดโมเดล “นายกฯ คนละครึ่ง” จึงเป็นฝันที่ยังอีกยาวไกล เพราะไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นอีก

ช่วงนี้บิ๊กตู่จึงต้องเร่งกวาดบ้าน จัดการอุปสรรค ขจัดเสี้ยนหนามจากศึกภายใน ก่อนประกาศไทม์ไลน์ทางการเมืองรับมือศึกนอกต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘หมอเชิด’ สะกิดเตือน ‘เศรษฐา’ หมอคุมยาก เปลี่ยนตัว ‘รมว.สธ.’ เกิดปัญหาแน่

‘หมอเชิด’ แนะ’เศรษฐา’ฟังเสียงสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในฐานะคนที่ยกมือให้ด้วย พร้อมระบุหมอควบคุมยาก เปลี่ยนตัวรมว.สธ.เกิดปัญหาแน่

'เศรษฐา1/1'เศรษฐกิจ-การเมืองนำ เว้นระยะ'ความมั่นคง-กองทัพ'

โฉมหน้า “คณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1/1” ที่ออกมา นอกจากจะเป็นการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตัวบุคคลของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เป้าหมายที่ฉายภาพชัดต่อทิศทางการบริหารงานของรัฐบาล

‘เศรษฐา’ ลุยสวน ชิมทุเรียน 3 สายพันธุ์

เมื่อเวลา 10.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เดินทางด้วยรถยนต์อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 8 กผ 1127 กรุงเทพมหานคร ถึงสวนนวลทองจันทร์ ตำบลมาบไพ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจติดตามการผลิตทุเรียนคุณภาพปลอดภัยมูลค่าสูง และรับฟังปัญหาจากเกษตรกร

'หมอชัย' โนคอมเมนต์ นายกฯ ทาบ 'จักรพล' นั่งโฆษกรัฐบาล

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวที่นายกรัฐมนตรีทาบทามนายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง