
เปิดฉากขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ สำหรับการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพ การประชุมครั้งนี้เป็นหน้าตาของประเทศที่ได้รับความไว้วางใจเป็นเจ้าบ้านต้อนรับผู้นำประเทศและตัวแทนเข้าร่วมกว่า 23 ประเทศ โดยใช้ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เป็นสถานที่ประชุม และอีก 19 โรงแรมชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑลเป็นที่พำนัก
มาตรการรักษาความปลอดภัย มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานอนุกรรมการด้านการรักษาความปลอดภัยและการจราจร โดยมีศูนย์สั่งการอำนวยการอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ “กองอำนวยการร่วมรักษาความปลอดภัยและการจราจร” บูรณาการร่วมทุกส่วน ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง หน่วยข่าวกรอง ผู้แทนเหล่าทัพทหาร ตำรวจ ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนหน่วยที่เกี่ยวข้อง รวม 27 หน่วย โดยใช้กำลังพลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนกว่า 3.5 หมื่นนาย ซึ่งหน่วยปฏิบัติได้เข้าประจำการในพื้นที่แล้วตั้งแต่วันที่ 14 พ.ย.เป็นต้นมา
พื้นที่บริเวณโดยรอบเป็นพื้นที่ควบคุม ราชกิจจาฯ ประกาศลงวันที่ 14 พ.ย.65 ข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรในเขต กทม.ว่าด้วยการจัดการจราจรการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก พ.ศ.2565 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 16-19 พ.ย.65
1.ห้ามรถทุกชนิดเดินรถในถนนตลอดเวลา ถนนรัชดาภิเษก (ตั้งแต่แยกอโศกมนตรี ถึงแยกพระรามที่ 4) และถนนดวงพิทักษ์ (ตลอดสาย) 2.ห้ามรถทุกชนิดเดินรถในถนนเฉพาะเวลา 18.00-06.00 น. (ของวันรุ่งขึ้น) ถนน 5 สาย 3.ให้เดินรถทางเดียวในถนนเฉพาะเวลา 18.00-06.00 น. (ของวันรุ่งขึ้น) ถนน 3 สาย งดการใช้สถานีรถไฟฟ้า MRT ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งแต่วันที่ 16-19 พ.ย.65 และกำหนดพื้นที่ควบคุมการเดินเรือเป็นการเฉพาะคราวแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.65 ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
นอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยกับผู้นำแต่ละประเทศแล้ว “ม็อบ” หรือกลุ่มที่ต้องการเรียกร้อง ทั้งความเห็นต่างทางการเมือง สิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมกับสังคมโลก จึงจ้องที่จะใช้เวทีการประชุมระดับผู้นำของโลกเป็นเวทีสื่อออกไปให้ชาวโลกได้รับรู้ เหมือนกับหลายๆ ประเทศที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เช่นเดียวกันกับที่รัฐบาลไทยที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่กลุ่มเห็นต่างทางการเมืองหลายฝ่าย ทั้งบนดินและใต้ดินพยายามโค่นล้มมาหลายปี แต่ยังไม่สำเร็จลุล่วง ซึ่งทางการข่าวของเจ้าหน้าที่พบว่ามีความเคลื่อนไหวพยายามใช้พื้นที่การประชุมเอเปกเป็นกระบอกเสียงแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ไม่เอารัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร
“บิ๊กป้อม” พ.อ.ประวิตร ประธานกองอำนวยการร่วมรักษาความปลอดภัย กำชับเข้มเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง หน่วยงานความมั่นคงเฝ้าจับตาบุคคลหรือกลุ่มที่เคลื่อนไหวทั่วประเทศที่อาจมาป่วนการประชุม ยืนยันการประชุมจะเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ต้องไม่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยสาธารณะและสิทธิผู้อื่น หากมีข้อเรียกร้องให้ยื่นหนังสือตามที่กระทรวงต่างประเทศจัดเตรียมไว้ให้ โดยจะไม่ยอมให้ใครมาสร้างความเสียหายให้กับประเทศเด็ดขาด หากฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามยุทธวิธี ให้ลงโทษตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เครือข่ายราษฎรในนามกลุ่ม “ราษฎรหยุด APEC 2022” ประกาศเคลื่อนไหวคู่ขนานในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก ที่มีแกนนำอย่าง น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์, แกนนำกลุ่มราษฎร นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มทะลุฟ้า, นายพชร คำชำนาญ แกนนำกลุ่มพีมูฟ ได้ขออนุญาตชุมนุมที่ลานคนเมือง ตั้งแต่วันที่ 16-18 พ.ย. มีผู้ชุมนุมประมาณ 500 คน
แต่ต้องจับตาถึงแม้กลุ่มผู้ชุมนุมจะขออนุญาตชุมนุม น.ส.ภัสราวลีได้ประกาศว่า ถึงแม้ตำรวจจะปิดพื้นที่โดยรอบที่ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ก็จะเข้าไปให้มากที่สุด เป็นการจัดเวทีคู่ขนานฟ้องชาวโลกที่คนไทยได้รับผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ของ พล.อ.ประยุทธ์ และยังเย้ยเจ้าหน้าที่รัฐว่าไม่กล้าสลายการชุมนุม ตราบใดที่ผู้นำต่างประเทศอยู่ที่ไทย เพราะกลัวขายหน้าเวทีต่างชาติที่ใช้ความรุนแรง
การประชุมเอเปกครั้งนี้เป็นการวัดฝีมือ “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ที่จะจัดการกับกลุ่มไม่หวังดีทำลายบรรยากาศการประชุมระดับโลกไม่ให้เสียหาย เหมือนครั้งเสื้อแดงบุกล้มการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา นอกจากนี้การข่าวยังพบอีกหลายกลุ่มที่เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ ซึ่งก็ล้วนเป็นกลุ่มเดิมๆ ใครอยู่เบื้องหลัง ใครเป็นท่อน้ำเลี้ยง เจ้าหน้าที่มีข้อมูลอยู่แล้ว อีกฝั่ง กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. จับมือกับกลุ่มนักรบดำจัดทัพปกป้องประชุมเอเปก พร้อมเผชิญหน้าม็อบ 3 กีบ
งานนี้ไม่มีใครได้ มีแต่เสีย ผู้รับผิดชอบต้องเอาให้อยู่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


