5 ปมร้อนการเมืองหลังจบเอเปก เส้นทาง “บิ๊กตู่” อีกนานกว่าจะชัด

ผ่านไปแล้วอย่างเรียบร้อยและยิ่งใหญ่สำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก เมื่อวันเสาร์ที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา

เห็นได้ชัด ประเทศไทยได้ใช้เวทีเอเปกโปรโมตสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว-เรื่องของการเป็นประเทศที่มี Soft Power ที่หลากหลาย-การแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็น MICE City หรือเมืองแห่งการจัดประชุมและนิทรรศการ ที่หลังจากนี้น่าจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของโลก หากจะมีการจัดกิจกรรมการประชุมและนิทรรศการระดับนานาชาติ

ทั้งหมดคือความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ ที่ก็ต้องยอมรับว่า เครดิตเรื่องนี้ยังไงรัฐบาลปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ไปเต็มๆ ในฐานะรัฐบาลที่จัดการประชุมเอเปก

เมื่อเอเปกจบไปแล้ว หลังจากนี้โหมดการเมืองเริ่มกลับมาเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง โดยประเด็นร้อนทางการเมืองที่ต้องติดตามต่อจากนี้ เบื้องต้นพบว่ามี 5 เรื่องสำคัญที่ต้องจับตา ประกอบด้วย

1.การตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์

ประเมินว่า แม้ก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์จะส่งสัญญาณทางการเมืองทำนองว่า รอให้ผ่านเอเปกก่อนถึงจะให้ความชัดเจนและพูดคุยเรื่องการเมือง

 ท่ามกลางกระแสข่าวว่า พลเอกประยุทธ์เลือกที่จะเดินต่อทางการเมืองแน่นอน เพียงแต่จะอยู่บนเส้นทางไหน ระหว่าง อยู่ที่ พลังประชารัฐ เพื่อให้ 3 ป. ผนึกกำลังกันเหนียวแน่น หรือเลือกที่จะไป รวมไทยสร้างชาติ เพื่อสร้างฐานที่มั่นการเมืองของตัวเองที่เป็นบ้านหลังใหม่ เพราะอึดอัดใจที่จะอยู่พลังประชารัฐ ซึ่งต้องอยู่ใต้เงาของ พี่ป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่อไปเรื่อยๆ รวมถึงเพื่อเดินตามยุทธศาสตร์ แยกกันเดิน รวมกันหลังเลือกตั้ง ของ 3 ป.

กระนั้นประเมินแล้วคาดได้ว่า ถึงจบเอเปกมา พลเอกประยุทธ์คงไม่รีบประกาศการตัดสินใจอนาคตทางการเมืองของตัวเองทันที เพราะเหลือเวลาพอสมควรให้ตัดสินใจ โดยอาจขอรอดูไทม์มิ่งการเมืองอีกสักระยะเพื่อพิจารณาองค์ประกอบต่างๆ เช่น ผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.ว่าด้วยสูตรหาร 100 ปาร์ตี้ลิสต์ ในวันที่ 30 พ.ย.นี้

ทุกปัจจัยชี้ชัด การตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์ว่าจะเลือกเดินต่อไปบนเส้นทางทางการเมืองแบบไหน จะส่งผลต่อบริบทการเมืองโดยรวมตามมา เช่น การตัดสินใจว่าจะยุบสภาฯ ในช่วงใด หรือสุดท้ายจะดันให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ 4 ปี เพื่อไปเลือกตั้ง 7 พ.ค.2566 ซึ่งหากใช้สูตรนี้ เรื่องการสังกัดพรรคการเมือง 90 วัน จนถึงวันเลือกตั้ง ตามกฎหมายเลือกตั้งจะขยับไปที่เส้นตาย 7 ก.พ.2566

2.การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคำร้องคดีร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง

ที่พลเอกสมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภาพร้อมคณะรวม 77 คน เข้าชื่อกันยื่นคำร้องให้ศาลวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา มีเนื้อหาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลได้นัดอ่านคำวินิจฉัยวันพุธนี้ 23 พ.ย.

สำหรับประเด็นที่ยื่นคำร้องให้ตีความมีทั้งสิ้น 3 ประเด็นคือ 1.กรณีมีการแก้ไขเกี่ยวกับอัตราค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมืองที่เรียกเก็บจากสมาชิก 2.การลดคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่เดิมกำหนดห้ามบุคคลที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกเข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรค แต่ร่าง พ.ร.บพรรคการเมืองไปแก้ไขให้บุคคลที่มีมลทินสามารถสมัครเป็นสมาชิกพรรคได้ จึงเห็นว่าน่าจะขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ป้องกันผู้ที่มีมลทินเข้าสู่การเมือง 3.กรณีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักเกณฑ์การเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. หรือไพรมารีโหวตของพรรคการเมือง

3.คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง ส.ส.ในเรื่องสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ 100 หาร

อันเป็นคำร้องที่ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.พรรคพลังธรรมใหม่กับพวกรวม 106 คน เข้าชื่อกันยื่นคำร้อง ที่ศาลนัดอ่านคำวินิจฉัย 30 พ.ย.

โดยประเด็นที่ยื่นคำร้องไปมี 2 ประเด็นคือ ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า ระบบการคิดคำนวณ ส.ส.ด้วยการหาร 100 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ และกระบวนการตราร่างกฎหมายฉบับนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยคำร้องยกประเด็นว่า มีพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค มีการถ่วงเวลา ทำให้การประชุมรัฐสภาล่มถึง 4 ครั้ง อันหมายถึงไม่ใช่การมุ่งมั่นตั้งใจกระทำการตามกระบวนการกฎหมาย

ผลคำวินิจฉัยที่ออกมา หากสุดท้ายศาลไฟเขียวทั้งร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมืองและร่าง พ.ร.บ.การเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ก็เตรียมนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไป โดยหากมีการประกาศใช้กฎหมายพรรคการเมือง-กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ก็เท่ากับมีกฎหมายรองรับสำหรับการเลือกตั้ง ทำให้พลเอกประยุทธ์สามารถ ยุบสภาฯ ได้ตลอดเวลา

และแน่นอนว่าหากสุดท้ายกฎหมายทั้ง 2 ฉบับผ่านจากศาลรัฐธรรมนูญมาได้ โดยเฉพาะหากหาร 100 ปาร์ตี้ลิสต์ฉลุย

จะเกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ตามมาทันที เช่น อาจได้เห็นการ เจรจา-ควบรวมพรรค ของพรรคการเมืองขนาดกลาง-เล็ก พรรคตั้งใหม่ ที่ไปต่อไม่ไหวหากใช้ 100 หารปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่คืบ เหตุก็เพราะรอเรื่องนี้อยู่ แต่หากกติกาเลือกตั้งชัดแล้ว คงทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้นทันที เป็นต้น

ทว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ศาลชี้ว่าเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับ หรือฉบับใดฉบับหนึ่งมีปัญหา ขึ้นมา คราวนี้ก็ยุ่งแน่ ต้องมาดูว่ารัฐสภาจะหาทางออกอย่างไรในการไปปรับปรุงเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ทันกับช่วงเวลาที่สภาฯ ชุดนี้เหลือเวลาการทำงานอีกแค่ประมาณ 3 เดือนกว่า ก็จะปิดสมัยประชุม 28 ก.พ.2566

4.การปรับคณะรัฐมนตรีรอบสุดท้าย

ซึ่งหากสุดท้าย พลเอกประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและผู้จัดการรัฐบาล ไม่ส่งชื่อคนในพลังประชารัฐให้พลเอกประยุทธ์เป็นรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ 2 ตำแหน่งตอนนี้ ก็จะทำให้การปรับ ครม.รอบสุดท้าย พลเอกประยุทธ์คงแค่เสนอชื่อ นริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง ประชาธิปัตย์ เป็น รมช.มหาดไทยคนใหม่ ตามมติพรรค ปชป.ที่ส่งชื่อมาให้พลเอกประยุทธ์ตั้งแต่ 12 ต.ค. ที่ถึงขณะนี้ก็ผ่านไปเดือนเศษแล้ว โดยหากช้าไปกว่านี้ ประชาธิปัตย์คงมีเคืองแน่นอน

5.ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ระเบิดเวลาพรรคร่วมรัฐบาล

ที่พบว่า วิปรัฐบาลกำหนดให้ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ ที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นโต้โผใหญ่ เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ 7 ธ.ค. โดยพบว่า แกนนำ-ส.ส.ของทั้งภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ยังคงเปิดศึกวิวาทะเรื่องนี้กันอย่างดุเดือด แบบไม่มีใครยอมใคร โดยประชาธิปัตย์สร้างกระแสว่า หากกฎหมายนี้ผ่าน จะทำให้เกิดกัญชาเสรีสุดขั้ว แต่ภูมิใจไทยโต้ว่า ตอนนี้มันเสรีอยู่ แต่หากยิ่งไม่มีกฎหมายกัญชาออกมาควบคุม จะยิ่งทำให้กัญชาเสรีสุดขั้วของจริง และอัดว่าเรื่องนี้เป็นเกมการเมืองของประชาธิปัตย์ที่ต้องการเตะตัดขาภูมิใจไทย เพราะไม่อยากให้พรรคมีผลงานไปหาเสียง ทำให้ร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ จึงเป็นระเบิดเวลาของพรรคร่วมรัฐบาลที่คงร้อนแรงแน่ ยามเมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ

ทั้งหมดคือ 5 เรื่องสำคัญทางการเมืองที่ต้องติดตามกันหลังจากรูดม่านปิดฉากการประชุมเอเปกไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม

วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)