
คดีทุนจีนสีเทา ที่เรียกกันว่าคดีตู้ห่าว กำลังเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนนี้มีอีก 2 หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเข้ามาร่วมสืบสวนสอบสวนขบวนการดังกล่าว
หน่วยงานแรกคือ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่เข้ามาดำเนินการ หลังจากพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ส่งสำนวนคดีให้อัยการสูงสุดพิจารณา โดยระบุว่า กลุ่มผู้กระทำความผิดได้ร่วมกันกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร คือชักชวนลูกค้าต่างชาติ โดยพบการกระทำความผิดบางส่วนในราชอาณาจักรไทย และบางส่วนนอกราชอาณาจักรไทย จึงเข้าเงื่อนไขตามความผิดตามกฎหมายที่ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทยตามมาตรา 20 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทำให้อัยการสูงสุด จึงมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าวทันที
และอีกหนึ่งองค์กรที่เข้ามาร่วมสืบสวนสอบสวนด้วยก็คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ที่เข้ามาสอบสวน เนื่องจากเป็นคดีการฟอกเงินยาเสพติดมูลค่าสูงกระทบวงกว้าง เข้าเงื่อนไขบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ
สำหรับในส่วนของสำนักงานอัยการสูงสุด การขยับดังกล่าวเกิดขึ้น หลัง นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ลงนามคำสั่งสำนักงานอัยการสูงสุดแต่งตั้งคณะทำงานกำกับการสอบสวนและการดำเนินคดีสำคัญ
หลังจากผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมีหนังสือรายงานข้อมูลผู้ต้องหากระทำผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 ถึงอัยการสูงสุด ที่ได้มีการดำเนินคดีกับ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว ในสำนวนคดีอาญาในความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้าอันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด โดยกลุ่มผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพลที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และมีการตรวจยึดทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหาได้จำนวนมาก
ทำให้อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งแต่งตั้งพนักงานอัยการและเจ้าพนักงานตำรวจเป็นคณะทำงานและมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเรื่องดังกล่าว โดยคณะทํางานดังกล่าวประกอบด้วย อัยการสูงสุด เป็นที่ปรึกษาคณะทํางาน-ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน โดยมี สมเกียรติ คุณวัฒนานนท์ รองอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทํางาน ส่วนคณะทำงานคนอื่นๆ ก็มีเช่น รองอัยการสูงสุด-อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอัยการสูงสุด-ผู้บัญชากาตำรวจนครบาล เป็นต้น
ทั้งนี้คำสั่งระบุว่า ให้คณะทำงานชุดดังกล่าวมีอำนาจหน้าที่กำกับและติดตามการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน-เร่งรัดการสอบสวนและการส่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้ให้ทันภายในกรอบระยะเวลาในการควบคุมฝากขังผู้ต้องหาตามกฎหมาย
เบื้องต้น โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ขยายความถึงกรณีอัยการสูงสุดลงนามคำสั่งตั้งคณะทำงานกำกับการสอบสวนและการดำเนินคดีสำคัญ ในคดีตู้ห่าวดังกล่าว ว่า หลังจากนี้ในส่วนของการสืบสวนต้องมีอีกคำสั่งหนึ่งคือ การตั้งพนักงานสอบสวน อาจจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ ต้องรออัยการสูงสุดมีหนังสือคำสั่งตั้ง
ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า คดีสืบสวนสอบสวนทุนจีนสีเทากำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น เพราะองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้ง กองบัญชาการตำรวจนครบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-สำนักงานอัยการสูงสุด-กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวน เพราะรูปคดีจะพบว่า เครือข่ายดังกล่าวมีการกระทำความผิดเป็นกระบวนการทั้งเรื่องคดียาเสพติด-การฟอกเงิน ที่เข้าข่ายเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัย
ขณะที่ในส่วนของความคืบหน้าคดียึดอายัดทรัพย์ ทาง สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและดีเอสไอ ให้ข้อมูลว่า ตัวเลขการยึดอายัดทรัพย์จนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ดีเอสไอยึดอายัดได้ 3,020 ล้านบาท ป.ป.ส.ยึดอายัดได้ 2,192 ล้านบาท มีทรัพย์สินบางส่วนที่ซ้ำกับดีเอสไอ ขณะนี้ยอดรวมอยู่ที่ 4,401 ล้านบาท และ ป.ป.ส.กำลังออกหมายยึดอายัดเพิ่มอีก 1,123 ล้านบาท
เมื่อหลายหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว แน่นอนว่า เป็นเรื่องดีแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลกันในการทำงาน จะได้ไม่เกิดข้อครหาว่าการทำสำนวนสอบสวนหย่อนยาน ทำสำนวนอ่อนจนมีผลต่อรูปคดีเมื่อคดีไปถึงศาลยุติธรรม แต่สิ่งสำคัญคือ ในการสืบสวนสอบสวน รวมถึงการเดินหน้าอายัด-ยึดทรัพย์เครือข่ายดังกล่าว แต่ละฝ่ายต้องทำงานกันแบบบูรณาการ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ มีการแย่งซีนกัน หากเป็นไปได้ ก็ควรต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเท่าที่ทำได้ เพื่อทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนจากทุกหน่วยงานมีความรัดกุม สำนวนแน่นหนา ชนิดผู้กระทำผิดดิ้นไม่หลุดในชั้นศาล
เพราะตอนนี้ก็ต้องยอมรับกันว่า ยังมีหลายฝ่ายไม่เชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจว่าจะเอาจริงเอาจังกับคดีนี้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากเป็นคดีใหญ่ เกี่ยวข้องกับคนจำนวนไม่น้อย และหลายคนที่ถูกเชื่อมโยงถึงก็เป็น เครือข่ายนักการเมือง-คนมีสี ที่ยังมีบทบาททางการเมืองอยู่
โดยเสียงสะท้อนสำคัญที่แสดงท่าทีไม่ไว้ใจการทำงานของตำรวจ คงไม่พ้น ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เกาะติดเรื่องนี้มาตลอด ที่ล่าสุด 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊กส่วนตัว เปรียบเทียบคดี อั้ม แยม คดีพนันออนไลน์ VS ตู้ห่าว คดียาเสพติด
โดยระบุตอนหนึ่งว่า “วันก่อน พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช นำกำลังบุกจับกุม “อั้ม และแยม” ผัวเมีย ได้เงินสด ทรัพย์สินมากมาย พร้อมตั้งข้อหา “สมคบฟอกเงิน” อย่างรวดเร็วทันที เพราะคดีจัดให้เล่นการพนันวงเงินเกิน 5 ล้าน เป็น “มูลฐานการฟอกเงิน” โดยไม่ต้องทำท่ารีๆ รอๆ
แต่ “ตู้ห่าว” โดนคดียาเสพติดร้ายแรงแท้ๆ กลับไม่ยอมตั้งข้อหา “สมคบฟอกเงิน” ทั้งที่เป็นความผิดมูลฐานเช่นเดียวกัน ร้ายแรงต่อสังคมมาก เพราะเป็นยาเสพติด
และกำลังขยายผลไปเป็น “อาชญากรรมข้ามชาติ” จากการร้องต่ออัยการสูงสุดของผม จนบัดนี้ตำรวจยังประสานเสียงบอกว่า “กำลังรอหลักฐานตรวจสอบเส้นทางการเงินจากธนาคารเพื่อพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหานายตู้ห่าวฐานฟอกเงิน”
ส่วนคดีพนันออนไลน์ของนายอั้มและแยม ตั้งข้อหา “สมคบฟอกเงิน” ได้ทันที ไม่เห็นต้องรอตรวจสอบกับธนาคาร เข้าทาง ปปง. เพราะพนันออนไลน์เงินมาก แต่กับตู้ห่าวรอก่อน ยาเสพติด อิทธิพลเยอะ ไม่เอา คดีตู้ห่าวยังพบยาเสพติดมากมายในพื้นที่เกิดเหตุ “จินหลิง”
ผ่านไปใกล้ครบกำหนดฝากขัง 84 วัน หากฟ้องไม่ทัน หรือตั้งข้อหาใหม่เพิ่มไม่ได้ ต้องปล่อยตัวตู้ห่าว ไม่ก็ฟ้องไปเท่าที่ตั้งข้อหา
มันเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับประชาชนอย่างพวกกระผม ว่าทำไมคดีตู้ห่าวรอแล้วรอเล่า”
ดังนั้นมันก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้อง คือ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ต้องทำคดีนี้ให้กระจ่าง ไม่กลายเป็นมวยล้มในสายตาประชาชน ไม่เช่นนั้นภาพลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติติดลบแน่ หากคดีนี้ผลออกมาค้านสายตาประชาชนทั้งประเทศ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


