การบอกกลับบ้านเกือบ 20 ครั้ง ของ “ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของเพื่อไทย และอีกสถานะคือนักโทษหนีคดี ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พ.ค. ขออนุญาตกลับมาก่อนวันเกิดภายในเดือน ก.ค.นี้ หลังใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ 17 ปี แต่สาระสำคัญมากสุดคือทวิตเตอร์ครั้งสุดท้ายที่ระบุว่า
"ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ ทั้งหมดคือการตัดสินใจของผมเอง ด้วยความรักผูกพันกับครอบครัว/แผ่นดินเกิดและเจ้านายของเรา”
หากอ่านและตีความทุกตัวอักษร ถือว่ามีนัยสำคัญและส่งผลทั้งบวกและลบให้ตัวเขาและพรรคเพื่อไทย
โดย “ทักษิณ” เชื่อว่าจะชิงมวลชนกลับมาในอีกไม่กี่วันก่อนเลือกตั้ง 14 พ.ค. เพื่อชนะแลนด์สไลด์ หลังกระแสพรรคก้าวไกล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค มาแรงแซงทางโค้ง ผ่านโพลหลายสำนัก ต่างๆ
ขณะที่ "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร ระยะหลังขายไม่ออก แม้จะเปิดสารคดีเส้นทางสู่การเมือง ต่อด้วยการเปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษของ 2 แคนดิเดต "เสี่ยนิด" เศรษฐา ทวีสิน ก็ไม่ได้สร้างกระแสให้เพื่อไทยกลับมาปัง เหมือนในช่วงก่อนหน้านี้
ฉะนั้นการประกาศกลับบ้านของ "ตัวพ่อพรรคแดง" สุดท้ายจะเสียของ จะสู้ความสดของ พรรคก้าวไกลได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีความชัดเจน โดยเฉพาะการสร้างวาทกรรม "มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา" ขณะที่พรรคสีแดงถูกมองว่าเป็นพรรคสู้ไปกราบไป ซึ่งคนรุ่นใหม่เขารู้ทัน คงต้องดูที่ผลเลือกตั้งอีกครั้งว่าผลจะเป็นอย่างไร อีกทั้งการเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังเป็นดาบสองคม เพราะช่วยปลุกฝ่ายอนุรักษนิยมที่ดูเงียบเฉา และมีจำนวนมาก ให้ออกมาช่วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาต้านระบอบทักษิณอีกครั้ง
ดังที่ ธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ออกมายอมรับว่า การกลับบ้านของ ทักษิณเป็นผลบวกกับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ขณะที่พรรคที่ได้รับผลกระทบอาจเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่จุดยืนยังไม่ชัดเจนจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โดยเฉพาะเสียงจากชาวใต้
ส่วนคำพูดของ "ทักษิณ" แม้ถูกบางฝ่ายตีความว่ามีปัญหาและมิบังควร แต่หากมองอีกนัยหนึ่งคือ ส่งสัญญาณบอกว่าไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล และพร้อมถีบให้พรรคส้มเป็นฝ่ายค้านใช่หรือไม่
สำหรับสาเหตุว่าทำไม ต้องกลับมาในช่วงวันเกิด 26 ก.ค. ไม่กลับก่อนเลือกตั้ง เนื่องจากปลอดภัยกว่า และเวลานั้น กกต.จะรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส.ภายใต้กรอบเวลา 60 วันเสร็จเรียบร้อย หรือไม่เกินวันที่ 14 ก.ค.
หากผลการเลือกตั้งออกมามีแนวโน้มว่าพรรคเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาล ก็ถือว่าเป็นคุณกับ "ทักษิณ" ก็อาจจะกลับมา แม้จะอ้างว่าอยู่ในช่วงรักษาการรัฐบาลประยุทธ์ ก็ยอมรับว่าคงไม่มีกำลังอะไรเหลือแล้ว และ คงหมดกำลังและรอกลับไปเลี้ยงหลาน
แต่หากสุดท้ายเพื่อไทยไม่ได้ตามเป้าหมาย หรือฝ่ายรัฐบาลเดิมรวมเสียง ส.ส.ได้เกิน 250 เสียง นายใหญ่คงอยู่ดูไบต่อไป ดีลต่างๆ ที่เชื่อว่าสำเร็จแล้วอาจจะจบลง หรือจริงๆ แล้วอาจจะไม่มีอะไรเลย
ที่สำคัญยังถูก “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ยังออกมาดักทางว่า “ทักษิณจะต้องกลับมาติดคุกเท่านั้น เพราะมีคดีความต่างๆ ที่ตัดสินคดีจบลงไปแล้ว
พร้อมเปิดประเด็นว่า "อย่างที่ รมว.ยุติธรรมคนที่แล้วเคยให้ข่าวว่ามีแนวคิด "เฮาส์อาร์เลสท์" ประกาศควบคุมตัวนักโทษที่ไหนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นที่เรือนจำ โดยประกาศให้เสมือนเป็นเรือนจำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นแค่นโยบายสมัยของท่าน ยังไม่มีการดำเนินการอะไรเป็นรูปธรรม ผู้ต้องโทษจึงต้องเข้าสู่สถานควบคุมของทางราชการ ควบคุมตัวที่บ้านไม่ได้"
ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปดูนโยบาย "เฮาส์อาร์เลสท์" ก็พบว่าก่อกำหนดตั้งแต่แก้ไข พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ตั้งแต่ปี 2560 และมีการออกกฎกระทรวงหลายฉบับในปี 63 โดยเฉพาะกฎกระทรวง เรื่อง กำหนดสถานที่คุมขัง ลงนามโดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เมื่อวันที่ 25 ก.ย.ปี 63 ประกาศราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 12 ต.ค.63 ถือว่ามีผลบังคับใช้ แต่รัฐบาลปัจจุบันยังไม่ได้เริ่มประเดิมใช้
โดยกำหนดนิยาม "สถานที่คุมขัง" ว่าเป็นสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ ซึ่งเป็นสถานที่ของทางราชการ หรือเป็นเอกชนที่เจ้าของหรือผู้ปกครองดูแลรักษาสถานที่อนุญาตหรือยินยอมเป็นหนังสือให้ใช้ประโยชน์ในการควบคุมผู้ต้องขัง
สำหรับสถานที่หมายถึงสถานที่ทำการหรือสถานประกอบการเอกชน มูลนิธิ สถานสงเคราะห์ หรือสถานที่ใช้สำหรับการสังคมสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นของราชการหรือเอกชน รวมถึงโรงพยาบาล ฯลฯ
ขณะนี้นายสมศักดิ์ที่ย้ายไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เคยชี้แจงหลังถูกนักวิชาการกล่าวหาว่า ในสมัยเป็น รมว.ยุติธรรม เคยออกกฎกระทรวงเพื่อช่วยทักษิณไม่ต้องติดคุกในเรือนจำว่า ข้อเท็จจริง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ปี 60 เริ่มร่างเมื่อปี 58 ตนยังไม่ได้ดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ซึ่งตนเข้ามาเมื่อปี 62
ส่วนการออกกฎกระทรวงใหม่ ก็เป็นขั้นตอนสืบเนื่องจากการออก พ.ร.บ.เมื่อประกาศใช้ ปี 60 ส่วนราชการเจ้าของกฎหมายก็ต้องยกร่างกฎกระทรวงใหม่ ซึ่งใช้เวลาทั้งหมด 3 ปี จากกรมราชทัณฑ์ไปกระทรวง ยธ.ส่งเข้า ครม.ส่งไปให้กฤษฎีกาตรวจร่าง แล้วถึงส่งคืนมาให้ รมว.ยุติธรรม ลงนามในปี 63
"ส่วนที่มีการกำหนดสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำนั้น ใช้สำหรับผู้ต้องโทษระยะสั้น ผู้ใกล้จะพ้นโทษ ผู้ป่วย แต่ไม่ใช่นักโทษเข้าใหม่แต่อย่างใด" นายสมศักดิ์กล่าวไว้เมื่อวันที่ 31 มี.ค. ปี 66
ต้องจับตาดูว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ควบคู่จะกล้าปรับเงื่อนไขต่างๆ เพื่อผลักดันนโยบาย "เฮาส์อาร์เลสท์" เพื่อนำ "ทักษิณ" กลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุก สอดรับกับที่ตัวเขาทวีตว่า "ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย"
หรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง
บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

