จากบทเรียนของกกองทัพเรือ (ทร.)ในการจัดหาโครงการเรือดำน้ำ S26T ของจีน เพราะปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เยอรมันที่ไม่สามารถหามาติดตั้งใน S26T ได้ตามสัญญา และยังต้องฝ่ากระแสวิพากย์วิจารณ์เรื่องคุณภาพ และมาตรฐานของเรือจีนอย่างยากลำบาก
และที่สำคัญยังมีปัจจัย“ การเมือง” มาเป็นส่วนชี้ขาดว่าโครงการจะเดินหน้าต่อไปได้หรือไม่ ซึ่งช่วงตั้งโครงการ อำนาจและบารมี “บ้านป่ารอยต่อฯ “ กำลังเฟื่องฟู ทำให้มวลหมู่ “ทหาร -ตำรวจ”ตบเท้าเข้าหาไม่เว้นแต่ละวัน เพราะ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั่งเป็น รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ควบ รมว. กลาโหม คุมอย่างเบ็ดเสร็จสามารถสั่งซ้ายหันขวาหันได้
ทร.ต้องยอมถอยร่นเลือกทางที่ไปได้มากที่สุด แต่อาจไม่ดีที่สุดในตัวเลือก ทั้งนี้ ก็เพื่อให้มีโอกาสได้เริ่มนับหนึ่งในการเสริมสร้างศักยภาพกำลังรบมิติใต้น้ำตามยุทธศาสตร์สมุทานุภาพ แต่นั่นก็ต้องแลกกับ “ ความรุงรัง” จากปัญหาที่ตามมา และ ผบ.ทร.ในอดีตในช่วงที่เกิดปัญหายังแขวนปมปัญหาไว้ ยังไม่ได้สะสาง ซึ่ง ผบ.ทร.ในช่วงหลังก็มีอายุราชการแค่ปีเดียวเท่านั้น
พอมาในยุค พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ เป็นผู้บัญชาการทหาร มองว่าถ้าไม่ตัดสินใจเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ ก็จะไม่ทำให้ทุกอย่างเดินหน้าไปได้ และจะกระทบต่อการจัดทำแผนอื่นๆด้วย พร้อมเริ่มมองการแก้ไขปัญหาในระยะยาว มีการจัดทำสมุดปกขาวเปิดเผยความต้องการยุทโธปกรณ์เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บ ทร. เพื่อสร้างความเข้าใจต่อประชาชน และทุกภาคส่วน เหมือนเช่นที่ กองทัพอากาศ(ทอ.)ดำเนินการแล้ว และมีเสียงตอบรับด้านบวกจากฝ่ายการเมืองทั้งฝ่ายค้าน และ รัฐบาล
แต่ผลลัพธ์สุดท้ายปลายทางกลับมีความแตกต่าง ทร. ที่แม้จะมีการปรับตัว และมองไปที่คุณภาพในการจัดหายุทโธปกรณ์ที่ใช้ได้ในระยะยาว มีความต่อเนื่องในเรื่องการส่งกำลังบำรุง ในขณะเดียวกัน ก็พยายามเดินตามนโยบายเรื่องผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ เหมือนเช่นที่เสนอโครงการฟริเกตสมรรถนะสูง ในงบฯ 67แต่กลับถูกโหวตคว่ำในชั้นคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในขั้นของการอุทธรณ์ ด้วยคะแนนเสียงข้างมากที่มาจากพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเหล่าทัพก็สังกัดพรรคเพื่อไทยเช่นกัน
โดย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกคณะกรรมาธิการฯ ให้เหตุผลว่า การชี้แจงเพื่อขออุทธรณ์ของ ทร.ยังมีแค่ชื่อ 5 บริษัท ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะซื้อจากประเทศไหน จึงให้ไปทำการบ้านมาเพิ่ม และต้องนำเสนอให้ได้ว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไร
ซึ่งจุดนี้แตกต่างจากกองทัพอากาศ ที่ ผบ.ทอ. ไปชี้แจงทุกเวทีว่า คณะกรรมการคัดเลือกแบบเครื่องบินขับไล่ฝูงใหม่ จะชี้ลงไปเลยว่า มีความต้องการเครื่องบินรุ่นไหน มีการลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจอย่างไร ไม่ใช่แค่ การระบุวงเงินและบริษัทที่อยู่ในข่ายการคัดเลือกเท่านั้น
ยังไม่นับเฮริลคอปเตอร์ของ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศร.ชล )วงเงิน 1,500ล้านบาท ที่ กมธ.โหวตคว่ำเพราะถูกมองว่า ศร.ชล เป็นหน่วยอำนวยการ ประสานงาน ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติการ จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็น
แต่ในที่สุดทร.ต้องคงต้องถอย เพื่อแลกกับการเดินหน้าเรือดำน้ำ S26T ”เผือกร้อน” อีกโครงการที่รัฐบาลต้องมาลง “เรือลำเดียวกัน”ในการเห็นชอบ เปลี่ยนแปลงแก้ไขเปลี่สัญญาเรื่องเครื่องยนต์ ถ้าในกรณีที่เห็นตรงกันว่าจะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์จีน เพราถือเป็นสาระสำคัญของสัญญา แต่นั่นก็ไม่ได้มีผลกระทบมากนักต่อเป้าหมายต่อการตัดเงินเข้าสู่งบกลางปี67 เพราะเป็นโครงการเก่าที่ผูกพันงบฯ เลยมาครึ่งทางแล้ว อีกทั้งน่าจะเรื่มได้ในงบฯปี68 หรือ 69
ภาพรวมทั้งหมด จึงเป็นไปได้มากที่จะมี “ใบสั่ง”ในการตัดเงินก้อนใหญ่ที่เป็นโครงการซื้ออาวุธ มากองไว้ที่ “งบกลาง” เพื่อนำไปใช้ในโครงการที่เคยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ไม่ต่างจากยุค” ทักษิณ ชินวัตร” ที่แช่แข็งงบฯ ซื้ออาวุธกองทัพ แล้ว
โดยในรัฐบาลตอนนั้นนำเงินไปใช้ในโครงการประชานิยมอย่างสุดขั้ว ทำให้กองทัพอยู่ในสภาพ “บักโกรก” จนทำให้หลังรัฐประหาร 2549 มีการจัดหาอาวุธเข้าประจำการแบบ กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ เป็นภาวะที่ขาดความสมดุลระหว่างฝ่ายความมั่นคง กับ การเมือง มาตั้งแต่ตอนนั้น
ยังมีอีกหนึ่งตัวอย่าง ที่แสดงให้ว่าว่าพลัง “การเมือง” มีปัจจัยสูงยิ่ง นั่นก็คือ โครงการจัดหาเรือดำน้ำแบบ U-206Aมือสองจากเยอรมัน 6ลำไม่ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงกลาโหม รัฐบาล”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”เมื่อปี2555 ยอมเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณให้ ทร.ไปซื้อเรือฟริเกตสมรรถนะสูง 2 ลำ ซึ่งเป็นที่มาของการที่ ทร.ได้ลงนามในการผลิตเรือลำแรกกับบริษัท แดวู ชิปบิลดิ้ง แอนด์ มารีน เอ็นจิเนียริ่ง สำเร็จ จนเป็นที่มาของ รล. ภูมิพลมาถึงปัจจุบัน
ย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับงบประมาณการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ดับเพลิงของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)วงเงิน 950 ล้านบาทใน งบฯปี 2567 ซึ่งถูกเบรคในชั้นอนุกรรมาธิการ แต่สุดท้ายคณะกรรมาธิการฯ งบกลับมีมติอนุมัติให้ โดยบอกว่า มีการส่งสเปค และลงลึกในรายละเอียดมาให้ กมธ. รับทราบ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “ฝ่ายการเมือง” เดินสายล็อบบี้ให้พรรคร่วมหนุนโครงการนี้ โดยมี “อนุทิน ชาญวีรกูร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำกับดูแล ปภ. ออกแรงไปพูดคุยด้วยตัวเอง กลายเป็นกองหนุนสำคัญในการให้การอุทธรณ์สำเร็จ
แน่นอนว่าเหตุผลคือความจำเป็นของหน่วยงานที่ต้องการใช้ยุทโธปกรณ์นั้นเพื่อปฏิบัติงาน แต่ข้อมุลของฝ่ายการเมืองที่จะได้รับ จะเป็นปัจจัยชี้ขาด ซึ่งแหล่งข้อมูลนั้นก็มีทั้งที่แสวงหา และ วิ่งเข้าหา ที่มาจากทั้งในประเทศคือ นายหน้าค้าอาวุธ ล็อบบี้ยิสต์ และนอกประเทศ คือการต่อสู้ของมหาอำนาจเพื่อปักธงในภูมิภาคนี้
ปรากฏการณ์กรณีเรือฟริเกตจึงดูเหมือนจะสวนทางกับภาพความแนบแน่นระหว่าง” รัฐบาล” กับ” กองทัพ”จับมือกันแน่น เพราะมีศัตรูทางการเมืองเดียวกัน ดูได้จากการที่ นายกฯ ที่เรียก ผบ. เหล่าทัพ สอบถามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาแต่ละเรื่อง และสั่งการโดยตรง หรือการที่”สุทิน คลังแสง” รมว. กลาโหม มีความใกล้ชิดกับ ผบ.เหล่าทัพ แม้กระทั่งในวันเกิดครบรอบ 63 ปี ก็ตบเท้าเข้าอวยพรชื่นมื่น
มีการคืนที่ดินทหารให้รัฐบาลนำไปให้ประชาชน และส่วนรวมได้ใช้ประโยชน์ การคืนการบริหารไฟฟ้าสัตหีบให้กับหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ การรับคำสั่งตรงจากรัฐบาลไปแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในแต่ละพื้นที่
หรือแม้กระทั่ง ทร. ที่นอบน้อมพร้อมสนองนโยบายรัฐบาลทุกอย่าง ยอมเฉือนงบหลายส่วนเพื่อมาใช้ในการตั้งงบฯ ปีแรกเพื่อซื้อเรือฟริเกต 1,700 พันล้าน ถึงขนาดที่พล.ร.อ. อะดุง พันธ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ ไปพูดในเวทีคณะกรรมาธิการวิสามัญงบฯ ยอมให้ กมธ.ฝ่ายค้านรุมยำในวันที่เหล่าทัพไปชี้แจงวันแรก แต่เจ้าตัวก็พยายามอธิบานเหตุผล ถึงกับหลุดประโยคเรียกร้องความเห็นใจว่า “ยอมกินมาม่า เพื่อให้ทร.ได้ใช้ของดีๆ”
แต่ก็ป่วยการถ้า”การเมือง”ไม่เห็นด้วย และเอนเอียงไปในทางกองหนุนที่วิ่งเต้นเข้าหา อีกทั้งทาง ทร. ก็อาจไม่ได้กินมาม่า แต่ได้กินแห้วแทนในที่สุด
ยกเว้นประสานเสียงคีย์เดียวกับรัฐบาลเพื่อให้โครงการเกิดขึ้นได้ แต่ก็ต้องเสี่ยงกับเหตุการประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ส่งผลให้คนรุ่นหลังมาตามล้างตามเช็ดกันไม่จบไม่สิ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)

