
สัปดาห์นี้ “พรรคก้าวไกล”เตรียมขยับสู้”คดียุบพรรค”อีกรอบ ด้วยการจะส่งหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ตามที่ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลบอกไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ “เปิดห้องพิจารณาไต่สวนคดียุบพรรคก้าวไกล”อันจะเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้สู้คดีอย่างเต็มที่ และข่าวว่า พรรคก้าวไกลจะยื่นบัญชีพยานบุคคล เพื่อให้ศาลรธน.เรียก”มาให้ถ้อยคำกลางห้องพิจารณาคดี”ด้วย
โดยคาดว่า บุคคลที่ พรรคก้าวไกลจะยื่นบัญชีรายชื่อพยานไปให้ นอกเหนือจากแกนนำพรรคสองคนคือ พิธาลิ้มเจริญรัตน์ และชัยธวัช ตุลาธน แล้ว ก็น่าจะเป็น พยานบุคคลภายนอก เช่นอาจเป็นนักวิชาการ-นักกฎหมาย ที่เคยออกมาให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับเรื่อง “สถาบันพระมหากษัตริย์-การล้มล้างการปกครองฯ”ในทางที่เมื่อมาให้ถ้อยคำแล้ว จะเป็นคุณกับฝ่ายพรรคก้าวไกล เพื่อทำให้พรรคก้าวไกลรอดพ้นจากคดียุบพรรค
อย่างไรก็ตาม ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของ 9 ตุลาการศาลรธน.ว่าจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างไร คืออาจให้มีการเปิดห้องไต่สวนพิจารณาคดี แต่ศาลรธน.อาจเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องเรียกพยานบุคคลตามบัญชีรายชื่อที่พรรคก้าวไกลส่งมาก็ได้ คงให้แค่ ฝ่ายผู้ร้องคือ กกต. กับฝ่ายผู้ถูกร้อง คือพรรคก้าวไกล มาให้ถ้อยคำ และให้ทั้งสองฝ่ายได้”แถลงปิดคดีด้วยวาจา”เพียงเท่านี้ก็ได้ จากนั้น ก็แจ้งต่อผู้ร้อง-ผู้ถูกร้องว่า ตุลาการศาลรธน.จะนัดลงมติและอ่านคำวินิจฉัยกลางในวันใด
ทั้งหมดต้องรอดูผลการประชุมตุลาการศาลรธน.วันพุธนี้ 12มิ.ย.ว่าคดีนี้จะคืบหน้าต่อไปอย่างไร
หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางศาลรธน.ได้ส่งเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไปให้กับกกต.แล้ว เพื่อให้กกต. พิจารณา ซึ่งหากกกต.ติดใจ ก็อาจส่ง เอกสารข้อโต้แย้งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา กลับมายังศาลรธน. ภายในวันพุธนี้ หรือหากไม่ทันก็อาจเป็นสัปดาห์หน้า แต่หากกกต.ไม่ติดใจ ไม่ได้มีการขอใช้สิทธิ์ส่งเอกสารดังกล่าว ก็ทำให้ การประชุมตุลาการศาลรธน.วันพุธนี้ ที่ประชุม ก็อาจมีการพิจารณากันได้เลยว่า ตกลงจะให้มีการเปิดห้องพิจารณาไต่สวนคดียุบพรรคก้าวไกล ตามที่ พรรคก้าวไกล ต้องการหรือไม่ ซึ่งหากมีการเปิดห้องไต่สวนคดี ก็คงใช้เวลาอีกสักระยะกว่าคดีจะจบ แต่หากไม่มีการเปิดห้องไต่สวนฯ ก็คาดว่า อาจไม่เกิน3 สัปดาห์ต่อจากนี้ ไม่แน่ ศาลรธน.อาจนัดลงมติวินิจฉัยคดีได้
ขณะที่ การเปิดแถลงข่าว ของพรรคก้าวไกล ที่เป็นการสรุปประเด็นสำคัญในเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาที่พรรคยื่นต่อศาลรธน.ที่มีร่วม 73 หน้า มาสรุปประเด็นให้เหลือ 9 ข้อที่แถลงกับสื่อมวลชนไปเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา พอสรุปประเด็นสำคัญออกมาได้เป็น 4 ข้อหลัก คือ
1.กระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ยื่นคำร้องต่อศาลรธน.ให้ยุบพรรคก้าวไกลและขอให้ศาลรธน.ตัดสิทธิ์การสมัครรับเลือกตั้ง กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลาสิบปี ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เพราะก่อนกกต.มีมติเอาผิดพรรคก้าวไกลและส่งเรื่องให้ศาลรธน. ทางกกต. ไม่ให้โอกาสพรรคในฐานะผู้ถูกร้องเข้ารับทราบข้อกล่าวหา และได้โต้แย้ง แสดงพยานหลักฐานเพื่อสู้คดี
2.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีดังกล่าว และไม่มีอำนาจตัดสิทธิการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค
3.ข้อกล่าวหาในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การแสดงออกของส.ส.พรรคก้าวไกล และพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นการล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองฯ
ไม่ว่าจะเป็น อาทิเช่น การเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 , การนำเรื่องนโยบายแก้ 112 ไปหาเสียงตอนเลือกตั้งปี 2566 –การใช้ตำแหน่งส.ส. ไปยื่นประกันตัวผู้ต้องหาคดี 112 เป็นต้น
4.หากมีการยุบพรรคและมีการตัดสิทธิทางการเมือง ก็ควรต้องได้สัดส่วนกับความผิดและการพิจารณาโทษ ต้องสอดคล้อง กับคณะกรรมการบริหาพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
โดยมีรายละเอียดบางส่วนที่”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค-ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคในช่วงเกิดเหตุตามคำร้องคดียุบพรรคก้าวไกล”ได้แถลงข่าวไว้
“พิธา”นำเสนอประเด็นข้อต่อสู้ที่ยื่นต่อศาลรธน.ไว้โดยเลือกสรุปไว้ 9 ข้อ และแยกเป็นหมวดหมู่ ดังนี้
หมวดหมู่ เขตอำนาจและกระบวนการ
1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้
- กระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หมวดหมู่ ข้อเท็จจริง
- คำนิจฉัยเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้
- การกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่ล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์
- การกระทำตามคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ไม่ได้เป็นมติพรรค
หมวดหมู่ สัดส่วนโทษ
- โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้าย เมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีแก้ไขอื่น
- ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค
8.จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมือง ต้องได้สัดส่วนกับความผิด
- การพิจารณาโทษ ต้องสอดคล้อง กับกรรมการบริหารพรรคในช่วงที่ถูกกล่าวหา
“พรรคก้าวไกลไม่มีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริง โต้แย้ง หรือนำพยานหลักฐานไปชี้แจงกับกกต. การยื่นคำร้องคดีนี้ขัดต่อระเบียบที่กกต. ตราขึ้นเอง และการยื่นคำร้องในครั้งนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำวินิจฉัยของศาลรรัฐธรรมนูญเมื่อ 31 มกราคม 2567 (คดีล้มล้างการปกครอง) หลายคนอาจจะคิดว่าข้อเท็จจริงได้รับการวินิจฉัยเป็นที่สุดแล้ว แต่กกต. ยังใช้คำวินิจฉัยในคดีวันที่ 31 มกราคม เป็นเพียงหลักฐานเดียวในการยื่นยุบพรรคในครั้งนี้ แล้วหวังว่าจะมีความผูกพันคดี ในการที่คดีหนึ่งจะผูกพันกับอีกคดีได้ ก็ต่อเมื่อเป็นไปตาม 2 กรณีนี้เท่านั้น 1. เป็นข้อหาเดียวกัน ซึ่งในกรณีของเราต่างข้อหาก็เท่ากับต่างวัตถุประสงค์ 2. ถ้าระดับโทษใกล้เคียงกัน ก็อาจจะมาเทียบเคียงให้มีความผูกพันคดีได้ ซึ่งคดีเมื่อเดือนมกราคม ซึ่งโทษทั้ง 2 คดีนี้มีความแตกต่างกันมหาศาล มาตรฐานการพิสูจน์จึงเข้มข้นต่างกัน
ยกตัวอย่าง ในคดีแพ่งไม่ผูกพันคดีอาญา แม้จะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน เนื่องจากความเข้มข้นของมาตรการพิสูจน์คดีแพ่งต่ำกว่าคดีอาญา สำหรับคดียุคพรรคและตัดสิทธิการเมืองมีสภาพความรับผิดเทียบเท่าโทษอาญา สุดท้าย โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้ายเมื่อจำเป็น ฉุกเฉิน ฉับพลัน และไม่มีวิธีอื่นแก้ไข ” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุ
“พิธา”ยังได้ยกเคศกรณี ที่ส.ส.ก้าวไกล เคยเข้าชื่อกันเสนอแก้ไขประมวกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่หลายคน มองว่า จะเป็นเหตุผลที่ศาลรธน.อาจสั่งยุบพรรคก้าวไกล มาอธิบายด้วยว่า การเสนอแก้กฎหมายดังกล่าวฯ สภาฯ ยังสามารถยับยั้งแก้ไขได้ ซึ่งหากการแก้ม.112 เข้าสภาได้และมีการอภิปรายในเรื่องนี้ ก็ยังสามารถยับยั้งแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่นด้วยระบบนิติบัญญัติ ศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้สิทธิวีโต้ได้ ทั้งก่อนและหลังกฎหมายผ่านบังคับใช้จากสภา แสดงให้เห็นว่าระบบนิติบัญญัติสามารถยับยั้งได้ด้วยตนเอง
“การยุบพรรคในระบบประชาธิปไตยมีได้ แต่ต้องเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ฉับพลัน ซึ่งหากปล่อยไปจะเสียหายไม่มีวิธีอื่นแก้ไขแต่ในกรณีของพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเป็นการสั่งชะลอจากกกต. ระบบนิติบัญญัติ และการกระทำที่ยังไม่เกิดขึ้น และเมื่อมีคำวินิจฉัยในเดือนมกราคม พรรคก้าวไกลก็หยุดการกระทำ ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการสุดท้ายในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งหากมีการใช้ ก็เท่ากับว่าเป็นการทำลายประชาธิปไตยเสียเอง ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ”
แม้ท่าทีการแถลงข่าวของพิธา ดูจะแข็งกร้าว แต่ก็เห็นได้ว่า ไม่ได้ถึงกับพุ่งชน ศาลรธน.อย่างที่หลายฝ่าย คาดการณ์ไว้ ยังมีอารมณ์แบบ”หมอบๆ”คล้าย ขอความเป็น เมตตา เสียด้วยซ้ำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


