เคราะห์ซ้ำกรรมซัดสำหรับ "พรรคเพื่อไทย" เข้ามาแบบไม่ให้เว้นวรรคได้พักกัน โดยล่าสุด นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีมีผู้มายื่นร้องขอให้พิจารณายุบพรรคเพื่อไทยและ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากมีผู้ร้องที่ถูกระบุว่าเป็นบุคคลนิรนาม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ และ นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล ยื่นคำร้องกรณีแกนนำ 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดินไปร่วมประชุมกับ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง
อีกทั้งการให้สัมภาษณ์ของ "ทักษิณ" ในหลายครั้งเกี่ยวกับการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีระหว่างการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการชี้นำพรรคเพื่อไทย ในการเลือกพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงพรรคเพื่อไทยมีการนำวิสัยทัศน์ของทักษิณ ที่ได้แสดงไว้เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2567 มาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาล
โดยผู้ร้องมองว่าเข้าข่ายขัดพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 29 ที่มิให้ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการใดอันเป็นการควบคุมครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และการที่พรรคเพื่อไทย รวมถึง 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิมยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการควบคุมครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองไม่ว่าทางตรงทางอ้อมก็เข้าข่ายขาดมาตรา 28 ด้วย จึงขอให้ กกต.ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคตามมาตรา 92 (3)
ซึ่งข้อกล่าวหาเน้นไปที่การที่พรรคการเมืองต้องเข้าพบและรับคำปรึกษาจาก "ทักษิณ" ในเรื่องสำคัญต่างๆ ซึ่งส่อให้เห็นว่าทักษิณยังคงมีอิทธิพลและบทบาทเหนือพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตาม
สำหรับกระบวนการการสืบสวนของ กกต.ในระหว่างนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 30 วัน และสามารถขอขยายได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน จนกว่าจะแล้วเสร็จ กระบวนการสืบสวน และพิจารณาคำร้องของ กกต.กรณีการเข้าพบทักษิณที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พยานหลักฐานเบื้องต้นเริ่มจากการตรวจสอบข้อมูลสาธารณะ เช่น ภาพข่าว การให้สัมภาษณ์ของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และรายงานการประชุมของแกนนำพรรคที่เข้าพบกับ "ทักษิณ" ณ บ้านจันทร์ส่องหล้า รวมถึงหลักฐานที่ตรวจสอบข้อมูลที่ชี้ว่า การพบปะมีการหารือด้านการเมือง เช่น การผลักดันให้ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีบทบาทในการเจรจารวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
นอกจากนี้การตรวจสอบความเกี่ยวข้องของบุคคลภายนอก กกต. จะพิจารณาว่า "ทักษิณ" ในฐานะบุคคลภายนอกมีบทบาทใดบ้างในการตัดสินใจภายในพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วม เช่น มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมถึงบทบาทเชิงชี้นำที่มีข้อสงสัยว่าทักษิณอาจมีอิทธิพลในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์
ซึ่งการพิจารณาหลักฐานจะต้องควบคู่กับทางกฎหมายที่สำคัญในมาตรา 28 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ระบุว่าพรรคการเมืองต้องไม่ให้บุคคลภายนอกมีส่วนควบคุมหรือชี้นำจนพรรคขาดความเป็นอิสระ ขณะที่มาตรา 29 ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคชี้นำกิจกรรมภายในพรรค
หลังจากนั้นทางสำนักงาน กกต.จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการ กกต.พิจารณาอย่างละเอียด หากพบว่าพฤติกรรมการเข้าพบ "ทักษิณ" เข้าข่ายขัดต่อกฎหมาย จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อตัดสินว่าจะมีการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ เนื่องจากหากพบว่ามีการครอบงำจริง พรรคที่เกี่ยวข้องอาจถูกยุบ ส่งผลให้กรรมการพรรคสูญเสียสิทธิทางการเมือง และจะกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลที่เพิ่งจัดตั้ง ทั้งนี้ การตรวจสอบของ กกต.จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใสและเป็นธรรม
ส่วนขั้นตอนหลังจากที่ กกต. จัดทำสำนวนการสอบสวน พร้อมหลักฐานต่างๆ ส่งคำร้องอย่างเป็นทางการไปยังศาลรัฐธรรมนูญ โดยทางศาลจะพิจารณาว่า จะรับเรื่องหรือไม่ โดยจะมีการตรวจสอบเบื้องต้นว่าเป็นไปตามข้อกฎหมายหรือไม่ หากรับคำร้อง องค์คณะตุลาการศาลจะตั้งคณะผู้พิพากษาพิจารณาคดี และแจ้งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องรับทราบ รวมถึงให้พรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาชี้แจงภายในระยะเวลาที่กำหนด
โดยกระบวนการสืบพยานและไต่สวน ศาลรัฐธรรมนูญจะเรียกเอกสาร พยานบุคคล และข้อมูลเพิ่มเติมจากทั้งฝ่ายร้องและฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งการไต่สวนอาจมีการเรียกพยานมาสอบสวนในศาล ทั้งจาก กกต.และพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เช่น การชี้นำโดยนายทักษิณในช่วงจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาสักพักใหญ่ เพราะอาจมีการสืบพยานหลายบุคคล รวมถึงผู้ถูกร้องอาจมีการขอเลื่อนการไต่สวนไปก่อนเฉกเช่นเดียวกับกรณียุบพรรคก้าวไกล ที่ใช้ระยะหลายเดือนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
และถ้ายึดการพิจารณาคำวินิจฉัยและผลการตัดสิน หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายควบคุมหรือครอบงำพรรค ศาลอาจมีคำสั่ง ยุบพรรคที่เกี่ยวข้องเพิกถอนสิทธิทางการเมือง นอกจากการยุบพรรคแล้ว กรรมการบริหารพรรคในขณะเกิดเหตุอาจถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี อีกทั้งจะมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ของพรรคต้องหาสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน มิฉะนั้นจะสิ้นสุดสมาชิกภาพตามรัฐธรรมนูญ
การยุบพรรคอาจกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล หากพรรคถูกยุบเป็นพรรคสำคัญในรัฐบาลผสม แม้จะเป็นผลเสียกับหลายๆ พรรค แต่พรรคจะกลับมายิ้มได้อีกครั้งคงหนีไม่พ้น "พรรคประชาชน" ที่สามารถจัดการกับพรรครัฐบาลได้สำเร็จทั้งที่ไม่ต้องออกแรงแม้แต่กระดิกนิ้ว
แต่ในทางกลับกัน หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของทักษิณ และ 6 พรรคร่วมไม่ขัดต่อกฎหมาย พรรคร่วมรัฐบาลยังสามารถบริหารประเทศได้ตามปกติ แต่...ทักษิณ รวมถึงพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่หลุดจากบ่วงกรรมนี้อยู่ดี เพราะอย่าลืมว่ายังมีคดีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร เคยยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ทักษิณ รวมถึงพรรคเพื่อไทย หยุดกระทำการล้มล้างการปกครอง แม้ว่าจะเป็นเพียงการขอให้ผู้ถูกร้องหยุดการกระทำ แต่อย่าลืมว่ายังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะครั้งก่อนนายธีรยุทธก็จะทำแบบนี้กับพรรคก้าวไกลเช่นกัน และหลังจากนั้นก็ขอให้ กกต.ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล
โดยในเคสพรรคเพื่อไทยก็คงไม่ต่างกัน เพราะการที่นายธีรยุทธได้ส่งเรื่องขอให้หยุดการกระทำ เหมือนเป็นการชิมลาง เพราะถ้าศาลมองว่าพรรคเพื่อไทยกระทำการล้มล้างการปกครอง ข้อมูลตรงนี้มัดแน่นอยู่แล้ว และธีรยุทธจะสามารถอ้างคำวินิจฉัยศาลขอให้ศาลสั่งยุบพรรคเพื่อไทยได้ ซึ่งมองว่าโอกาสจะรอดยากมาก และพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องวุ่นในการจับมือเจรจาหาพรรคร่วม โหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีกครั้ง
แต่ถ้าศาลชี้ว่าคดีที่นายธีรยุทธมองว่าพรรคเพื่อไทยและนายทักษิณไม่เข้าข่ายกระทำการล้มล้างการปกครอง ก็ถือว่าหลุดบ่วงกรรมในปัจจุบัน แต่ในอนาคตข้างหน้าจะมีใครมาร้องเรียนในกรณีอื่นๆ อีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอนาคตข้างหน้า แต่เชื่อว่าการที่ "ชินวัตร" คุมเกมลงมาบริหารภายใต้เงาพ่อ คงอาจจะเป็นที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะอยู่ครบเทอมที่มีอยู่
สุดท้ายแล้วหากเป็นแบบนั้นจริง เรียกได้ว่านี่อาจจะเป็นการสั่งสอน "ทักษิณ" ที่กลับมายังบ้านเกิดดั่งเทวดา แม้สถานะจะเป็นนักโทษก็ตาม และพรรคตระกูลแดงจะถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่ 3 ต่อจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน แต่ในระหว่างนี้ต้องมาลุ้นกันว่า พรรคเพื่อไทย-ทักษิณ จะออกมาแก้เกมอย่างไร?.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ
พท. ตีปี๊บ! 'ยศชนัน' เรตติ้งพุ่ง นำทัพ กทม. สมัคร 27 ธ.ค.
'ประเสริฐ' เชื่อ 'ยศชนัน' ดึงคะแนนคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครได้ เตรียมเปิดตัว สส. ทั้ง 500 คน 25 ธ.ค. เคลียร์ปม 'จาตุรนต์' ลาออกปธ.ยุทธศาสตร์
ดักคอ 'เพื่อไทย' ปั่นกระแส 'ดร.เชน' หวังสกัดเลือดไหล เชื่อไร้ผลก่อนวันสมัครเลือกตั้งไปอีก
เทพไท ชี้การปั่นกระแสของดร.ยศชนัน ว่าเป็นคนรุ่นใหม่ มีเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ก็เพื่อต้องการที่หยุดกระแสเลือดไหลออกจากพรรคเพื่อไทย
เพื่อไทยโวปักธง‘สุพรรณบุรี’
"ยศชนัน" นำทัพเพื่อไทยประเดิมหาเสียง "อยุธยา-สุพรรณฯ" ประกาศปักธงไม่สนบ้านใหญ่
ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี
นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

