เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา "บิ๊กโจ๊ก" - พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อตรวจสอบความชอบธรรมของคำสั่งให้ออกจากราชการ ซึ่งคดีนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางปกครองในระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ในคดีมีผู้ถูกฟ้องที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งให้ออกจากราชการ ได้แก่ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นผู้ออกคำสั่งให้ออกจากราชการ , คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ซึ่งมีมติยกอุทธรณ์คำสั่งของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยเห็นว่าคำสั่งนี้เป็นไปตามหลักการที่ถูกต้อง และนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งมีมติเห็นชอบตามคำสั่งให้ออกจากราชการ โดย "บิ๊กโจ๊ก" เห็นว่าคำสั่งนี้ไม่เป็นธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยคำขอจากการฟ้องร้องของ "บิ๊กโจ๊ก" ประกอบด้วย 1. ขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการ โดยมองว่าคำสั่งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม รวมถึงขอคุ้มครองชั่วคราว เพื่อระงับผลจากคำสั่งให้ออกจากราชการในระหว่างรอคำตัดสิน และให้ตรวจสอบมติ ก.พ.ค.ตร. ว่ามติดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ เพราะเห็นว่า ก.พ.ค.ตร. ยกอุทธรณ์ของเขาโดยไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ "บิ๊กโจ๊ก" ถูกให้ออกจากราชการ เริ่มจากวันที่ 18 เม.ย. 2567 สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกคำสั่งให้ บิ๊กโจ๊ก ซึ่งเป็นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเว็บพนันออนไลน์
ต่อมาวันที่ 15 ส.ค. 2567 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2567
สำหรับกระบวนการพิจารณาคดีได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้ การรับคำฟ้องและตรวจสอบความสมบูรณ์ ศาลปกครองสูงสุด ได้รับคำฟ้องจาก พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ และดำเนินการตรวจสอบความสมบูรณ์ของคำฟ้องว่าถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายหรือไม่
ซึ่ง การพิจารณาเบื้องต้นโดย องค์คณะตุลาการเจ้าของสำนวน ของศาลปกครองสูงสุดจำนวน 5 คน มองว่า คดีนี้มีความสำคัญ และซับซ้อน จึงส่งเรื่องให้ประธานศาลปกครองสั่งนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด เพื่อให้มีการพิจารณาและลงมติอย่างรอบคอบ
และเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลปกครองสูงสุดได้จัดการประชุมใหญ่ตุลาการจำนวน 57 คน (แต่ไม่มีข้อมูลว่าองค์ประชุมมากันครบหรือไม่) โดยมีคดีต่างๆเข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งจากที่ปรากฎเป็นข่าวมีคดีของ "บิ๊กโจ๊ก" เสนอในที่ประชุมด้วย
ในการประชุมใหญ่ดังกล่าว ตุลาการได้พิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อให้ได้มาซึ่งมติที่เป็นธรรมและชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนี้ทางตุลาการเจ้าของสำนวนจะต้องสรุปเรื่องในที่ประชุมก่อนที่จะจัดทำคำพิพากษา หรือ เรียกคู่กรณีเข้าให้คำชี้แจงก่อนในระยะนี้
อย่างไรก็ตามมีกระแสข่าวมากมายจากหลายด้าน โดยมีรายงานว่ามีข้อสรุปให้ยกคำร้องคุ้มครองชั่วคราวฯและเห็นว่าคำสั่งที่ให้ออกจากราชกาารชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่ไม่สามารถยืนยันได้อย่างเป็นทางการ ว่าข้อเท็จจริงจะไปในทิศทางไหน ในที่ประชุมยังคงปิดเงียบในเรื่องนี้ โดยให้รอเจ้าของสำนวนนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาเป็นทางการ
ทั้งนี้เป็นไปได้ยากที่คดีนี้จะจบภายในเดือน พ.ย. เนื่องจากเกือบทุกคดีจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-6 เดือน กว่าที่ศาลจะมีคำพิพากษา โดยผลของคำพิพากษาสามารถแบ่งเป็น 2 แนวทาง 1. กรณีศาลพิพากษาเป็นคุณต่อ บิ๊กโจ๊ก หากศาลเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอาจมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งนั้น ซึ่งจะส่งผลให้บิ๊กโจ๊ก ได้รับการคืนสถานะในตำแหน่งเดิม พร้อมทั้งสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ควรได้รับระหว่างที่ถูกปลด รวมถึงอาจพิจารณาให้มีการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น
2.กรณีศาลพิพากษาเป็นโทษต่อ หากศาลเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งให้ออกจากราชการจะยังคงมีผลบังคับใช้ นั่นทำให้เส้นทางวงการสีกากีของ "บิ๊กโจ๊ก" จะพ้นจากตำแหน่งและสถานะข้าราชการตำรวจอย่างเป็นทางการ และการยืนยันคำสั่งจะทำให้เขาไม่มีสิทธิเรียกร้องสิทธิประโยชน์หรือชดเชยใด ๆ เพิ่มเติมจากกรณีนี้ โดยไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ใดๆได้อีก เพราะคดีนี้อยู่ในชั้นศาลสูงแล้ว
และมีโอกาสสูงที่จะมีคำพิพากษาเป็นโทษต่อ "บิ๊กโจ๊ก" เนื่องจากมีประกาศชัดเจนในราชกิจจานุเบกษา ให้พ้นจากตำแหน่งระบุว่า "ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2567"
แต่ด้วยฉายา "แมว 9 ชีวิต" เนื่องจากเส้นทางการทำงานในวงการตำรวจที่เต็มไปด้วยความท้าทายและมรสุมต่าง ๆ แต่เขายังคงสามารถกลับมายืนหยัดในตำแหน่งสำคัญได้เสมอ เริ่มตั้งแตการถูกปลดออกจากราชการ ในปี 2562 ที่ถูกสั่งย้ายออกจากตำแหน่งและโอนย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งสร้างความตกตะลึงในวงการตำรวจ หลังจากนั้น บิ๊กโจ๊ก ได้กลับมารับตำแหน่งรองผบ.ตร.และมีบทบาทสำคัญในการสืบสวนคดีใหญ่ ๆ ทำให้บางคนยังคงรอลุ้นได้อีก
สรุปได้ว่า ตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค. 2567 จนถึงปัจจุบัน กระบวนการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุดในกรณีของ "บิ๊กโจ๊ก" ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอคำพิพากษาอย่างเป็นทางการจากศาลปกครองสูงสุดก่อน โดย องคณะตุลาการเจ้าของสำนวน จำนวน 5 คน จะนัดอ่านคำพิพากษาอย่างเป็นทางการ ถึงจะทราบทสรุปสุดท้ายของ "บิ๊กโจ๊ก" ว่าแมว 9 ชีวิตรายนี้่ จะสามารถต่อชีวิตได้อีกหรือไม่ แต่หากพิพากษาชี้ขาดว่า คำสั่งตร.ที่ให้ออกจากราชการชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าจบทุกกระบวนการ จะไม่มีอุทรณ์ได้อีก
ถือว่าปิดฉากชีวิตสีกากีของ โจ๊กหวานเจี๊ยบ-แมว 9 ชีวิต อย่างสมบูรณ์แบบ!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
รมว.สธ. ตอก 'บิ๊กโจ๊ก' เปิดเว็บรับแจ้งศพน้ำท่วม ชี้วัดอะไรไม่ได้ หลักฐานชัดคือใบมรณะบัตร
"พัฒนา" เมิน "บิ๊กโจ๊ก" ปูดตัวเลขผู้เสียชีวิตน้ำท่วมใต้หลักพัน ชี้ตัวเลข 140 รายของสธ. ผ่านขั้นตอนที่ถูกต้อง บอก หลักฐานชัดคือใบมรณะบัตร ตัวเลขในเว็บไซต์ชี้ชัดอะไรไม่ได้
อีกแล้ว ‘โจ๊ก’ จะแฉข่าวใหญ่! หลังโผล่กองปราบ ยันไม่หนีคดีหมิ่น สตช.
อดีตรอง ผบ.ตร. เข้าพบพนักงานสอบสวนด้วยตัวเอง ระบุคดีนี้เป็นการแจ้งความเพื่อปิดปาก ย้ำยังไม่มีหมายเรียก-ไม่มีข้อหาใด พร้อมตั้งคำถามกลับถึงเหตุฟ้องร้อง ชี้ตล
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน


