ผลสำรวจความเห็นของประชาชน 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) หัวข้อ ความนิยมทางการเมือง ในไตรมาส 4 ปลายปี 2567 ให้ผลที่น่าสนใจ เมื่อ 'เท้ง’- นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นนักการเมืองที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดอันดับ 1
แม้ 'หัวหน้าเท้ง' จะเฉือนชนะ ‘อุ๊งอิ๊ง’-นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตัวจริง มาเพียง 1.05% แต่ก็ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่รั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรค ที่เจ้าตัวได้อันดับ 1 ในโพลสำรวจความนิยม แถมยังได้คะแนนเพิ่มจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 7% สวนทางกับ 'นายกฯ อิ๊งค์' ที่คะแนนนิยมหล่นลง 7% เช่นกัน
ขณะที่กระแสนิยมของ 'พรรคประชาชน' ก็ยังครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสที่แล้ว นำ 'พรรคเพื่อไทย' อยู่ราว 7-9% นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคมาในช่วงไตรมาสที่ 3
ผลโพลที่บ่งชี้เช่นนี้ ย่อมสะท้อนทิศทางการเมืองในปี 2568 ที่มีแนวโน้มผันแปร ยิ่งต้องให้น้ำหนักว่า 'นิด้าโพล' ถือเป็นสำนักที่ค่อนข้างแม่น โดยเฉพาะในช่วงลุ้นผลเลือกตั้งปี 2566
แม้ในช่วงแรก 'หัวหน้าเท้ง' ราศีผู้นำจะยังไม่เฉิดฉาย และถูกเทียบบ่อยครั้งว่ายังห่างชั้นกับอดีตผู้นำพรรคส้มอย่าง ‘ทิม’-นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กระทั่งสื่อมวลชนรัฐสภายังให้ฉายาว่า 'เท้งเต้ง' แต่หัวหน้าพรรคคนใหม่เพียงยิ้มรับความเห็น ก่อนผลโพลที่เริ่มขยับขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ว่าความพยายามได้เห็นผลทีละน้อย
โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือน ต.ค.-ธ.ค.ที่ผ่านมา หัวหน้าเท้ง เกาะติดประเด็นการรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งส่อเป็นภาระให้ประชาชนจ่ายค่าไฟแพง ซ้ำสวมบทดุ เรียกร้องนายกรัฐมนตรีให้มาตอบกระทู้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภา ขณะที่อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบถึง 3 หน
จนความพยายามนำมาสู่ผลเป็นรูปธรรม คือมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สั่งชะลอการรับซื้อพลังงาน ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้ดึงเอาคะแนนนิยมมาจาก 'นายกฯ อิ๊งค์' มาได้บ้าง
ปีใหม่ 2568 นี้ ทั้ง 'รัฐบาลพ่อเลี้ยง' ตลอดจนพรรคเพื่อไทย คงต้องกลับมาพิจารณาว่าจะรักษาความนิยมของผู้นำไว้อย่างไร ซึ่งอาจต้องมองไปถึง 'หลังม่าน' อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่ามีส่วนแย่งแสงไปจากลูกสาวด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้พรรคส้มจะยังขาขึ้นต่อเนื่อง และกราฟแต้มของผู้นำพรรคก็เริ่มโงหัวตามมาบ้าง แต่ปี 2568 นี้ก็ยังมีโจทย์ท้าทายรอพรรคประชาชนอยู่ ทั้งการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่ยังเก็บชัยชนะไม่ได้ จนถึงภารกิจแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังเกินเอื้อม
ที่สำคัญสุด ยังมีนโยบายที่เคยเป็น ‘เรือธง’ คือการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ‘มาตรา 112’ ที่เคยซื้อใจฐานมวลชนได้ แต่กลับนำมาสู่การยุบพรรคก้าวไกล ตัดสิทธิแกนนำ และกลายเป็นชนักปักหลัง 44 สส.อยู่เวลานี้ ประเด็นดังกล่าวย่อมเป็นเรื่องให้ขุนพลพรรคสีส้มต้องขบคิดว่าจะวางท่าทีอย่างไรต่อ
ล่าสุด การให้สัมภาษณ์ของ ‘หัวหน้าเท้ง’ กับสื่อมวลชน ที่เหมือนว่าจะ ‘ถอย’ นโยบายดังกล่าว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ห้ามไว้อย่างชัดเจน และเพื่อให้พรรคอื่นๆ ไม่มีข้ออ้างในการไม่ร่วมรัฐบาลเหมือนครั้งที่ผ่านมา ทำให้มวลชนที่สนับสนุนพรรคต่างตั้งคำถาม เพราะในการเปิดตัวพรรคประชาชนเมื่อช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ยังเคยแสดงออกว่า ‘ไม่ลดเพดาน’ อยู่เลย
โดย นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เราสื่อสารไม่ได้แล้ว เพราะศาลเองออกมาวินิจฉัยได้ค่อนข้างชัดเจนว่า พรรคการเมืองไม่สามารถนำเรื่องนี้มาใช้ในการรณรงค์หาเสียงได้อีกแล้ว แต่แน่นอนที่สุดคำวินิจฉัยไม่ได้ปิดช่องว่า ไม่สามารถแก้ไขได้ในระบบกฎหมาย ภายใต้คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ล่าสุดยังสามารถทำได้ด้วยกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ
"ในส่วนของพรรคประชาชน แน่นอนว่าไม่มีนโยบายนี้แน่นอน เพราะคำวินิจฉัยของศาลห้ามไว้แล้ว เพียงแต่ในอนาคต เราจะปรับปรุงกฎหมายอย่างไร ภายใต้ระบบนิติบัญญัติโดยชอบ ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่เราต้องหารือกันต่อไป และครั้งหน้าพรรคอื่นๆ จะไม่มีข้ออ้าง ในการไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาชน"
ทั้งนี้หากพิจารณาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญอย่างละเอียด จะเห็นว่า มีการห้ามนำนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ในการ ‘หาเสียง’ จึงพลอยทำให้พรรคประชาชนที่มีจุดขายเรื่องอุดมการณ์ ตรงไปตรงมา มีปัญหากับการแสดงจุดยืน ไม่สามารถ ‘ทะลุเพดาน’ ได้ดังเคย เพราะมีคำวินิจฉัยฯ และชะตากรรมของ 44 สส.ค้ำคออยู่
ขณะที่ความคิดเห็นของบรรดามวลชนแตกเป็นหลายทาง บางฝ่ายท้วงติง และยืนยันว่าพรรคต้องไม่ทิ้งอุดมการณ์เดิม แม้จะใช้หาเสียงไม่ได้ แต่ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชน ว่าจะไม่หยุดเดินหน้าแก้ไขกฎหมาย มิเช่นนั้นจะเสียฐานความนิยม
ขณะที่อีกฝ่ายก็เข้าอกเข้าใจเงื่อนไขที่เผชิญอยู่ พลางเชียร์ให้พรรครักษาเนื้อรักษาตัว เพื่อให้ไม่เกิดความสูญเสียทางการเมืองเหมือนที่ผ่านมาอีก
จะเห็นได้ว่าเส้นทางของพรรคประชาชน ในปี 2568 ซึ่งย่อมเล็งผลยาวสู่การเลือกตั้ง 2570 กับเป้าหมาย 270 เสียง เพื่อ ‘รัฐบาลพรรคเดียว’ จะยังต้องฝ่าอีกหลายด่าน ทั้งการรักษาคะแนนนิยมให้สม่ำเสมอ ซึ่งสัมพันธ์กับการแสดงจุดยืนตามอุดมการณ์เดิมที่เคยหาเสียงไว้ มิเช่นนั้นวาทกรรม ‘ตระบัดสัตย์’ อาจถูกย้อนศรมาทิ่มแทงตนเองได้
ยังไม่นับวิบากกรรมจากมรสุมทางกฎหมาย คดี 44 สส. ที่เดินหน้าอย่างเงียบๆ แต่มั่นคง
ทั้งหมดล้วนเป็นบททดสอบพรรคประชาชนภายใต้ปีก ‘หัวหน้าเท้ง’ ว่าจะเดินไต่เส้นลวดอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่พลัดตกลงมาก่อนคูหาเลือกตั้งจะเปิด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"
ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’
นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ
โจทย์หิน3แคนดิเดตนายกฯพท. ลูกเจ๊แดงโปรไฟล์ดีแต่มีข้อกังขา!
หลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา
พรรค‘ปชน.’ขอโทษจากใจ วอน‘ประชาชน’ไปต่อด้วยกัน
ภาพที่หัวหน้าพรรคสีส้มทุกยุคสมัยมาปรากฏตัวพร้อมหน้าบนเวทีเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก เอาเข้าจริงอาจจะยิ่งกว่าเวทีปราศรัยใหญ่ก่อนเลือกตั้งทุกครั้งด้วยซ้ำ เพราะในกิจกรรม
เร่งเกม'เลือกตั้ง-จบศึกชายแดน' เมื่อทุกแนวรบกำลังได้เปรียบ
เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นฉันทามติของสังคมที่ต้องการให้กองทัพดำเนินกลยุทธ์ในการนำพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการของไทยคืนจากกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการสู้รบระลอกที่ 2

