เหลี่ยม"ทักษิณ"หาเสียงนายกอบจ. ก้ำกึ่ง สุ่มเสี่ยง ผิดกฎหมายเลือกตั้ง

การปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง ทั้งสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้ง และพาดพิงคู่ปรับทางการเมืองอย่างดุเดือด

โดยเมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา นายทักษิณ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ได้ขึ้นปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงราย เพื่อสนับสนุน สลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย สิ่งที่ทำให้เวทีหาเสียงครั้งนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรง ไม่ใช่เพียงการปรากฏตัวของอดีตนายกฯ ที่เคยมีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทย แต่เป็นเนื้อหาของการปราศรัยที่เต็มไปด้วยการกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลกลาง

เช่น การแจกเงินผู้สูงอายุ 10,000 บาท, การลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย, การแก้ไขปัญหายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยหลังจากการปราศรัยดังกล่าวจบลง รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่นำโดย "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี และบุตรสาวทักษิณ ได้ประกาศแจกเงิน 10,000 บาทให้ผู้สูงอายุ ในวันที่ 29 ม.ค.2568 ซึ่งเป็น 3 วันก่อนการเลือกตั้งนายก อบจ. ในวันที่ 1 ก.พ.2568

คำถามที่เกิดขึ้นคือ นี่คือการใช้ นโยบายรัฐ เพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งและหลักวินัยการเงินการคลังหรือเปล่า เป็นการเอาเปรียบคู่แข่งทางการเมืองโดยใช้ทรัพยากรของรัฐหรือไม่?

ความเชื่อมโยงระหว่าง "นโยบายรัฐ" และการหาเสียง การใช้ทรัพยากรของรัฐในการหาเสียง การกล่าวถึงนโยบายแจกเงินและลดค่าไฟฟ้าในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น โดยบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองอย่างนายทักษิณ ทำให้เกิดข้อกังขาว่า การใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อหวังผลทางการเมืองอาจไม่เป็นธรรม

เนื่องจากอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า หากไม่เลือกผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย อาจไม่ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว โดยความได้เปรียบทางการเมือง พรรคอื่น หรือกลุ่มอื่นไม่มีอำนาจในการประกาศนโยบายลักษณะเดียวกัน การกล่าวถึงโครงการที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติ นโยบายบางประการยังไม่ผ่านการอนุมัติอย่างเป็นทางการ อาจเข้าข่ายให้สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์เพื่อจูงใจการเลือกตั้ง

ในส่วนของการวิเคราะห์ทางกฎหมาย คงหนีไม่พ้นว่าการหาเสียงโดยใช้นโยบายของรัฐบาลขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ โดยในการพิจารณาเรื่องนี้จำเป็นต้องอ้างอิง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (...) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ..2562 ซึ่งกำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรของรัฐและการให้สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์เพื่อจูงใจประชาชนอย่างชัดเจน

มาตรา 65 ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการใดๆ อันเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นโดยการให้ สัญญาว่าจะให้ หรือ เตรียมการที่จะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม และ (5) ระบุว่าการหลอกลวงบังคับขู่เข็ญใช้อิทธิพลทุกคำใส่ร้ายความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมผู้สมัคร

การปราศรัยที่มีการสัญญาว่าจะให้ เช่น จะปรับลดค่าไฟฟ้า หรือการแจกเงิน 10,000 บาท ในช่วง 3 วันก่อนวันเลือกตั้ง อบจ. การประกาศในช่วงหาเสียง ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าการเลือกพรรคเพื่อไทยจะได้รับเงินทันที อาจถูกมองว่าเป็นการจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเสียง ซึ่งอาจขัดต่อมาตรานี้

นอกจากนี้อาจมองได้อีกว่า ขัดต่อต่อ ...วินัยการเงินการคลังของรัฐ ..2561 หรือไม่ ซึ่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้กำหนดแนวทางการใช้เงินงบประมาณอย่างรัดกุม ในมาตรา 9 วรรคสาม ระบุว่า "คณะรัฐมนตรีต้องไม่บริหารราชการแผ่นดินโดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาว"

มาตรา 49 ระบุว่า การก่อหนี้และการบริหารหนี้สาธารณะต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศและหน่วยงานของรัฐ โดยต้องกระทำด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความคุ้มค่าความสามารถในการชำระหนี้

ดังนั้นการประกาศว่าจะแจกเงินหมื่นของรัฐบาลก่อนการเลือกตั้ง อบจ.ก็อาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายนี้

ในกรณีนี้ผู้คุมกติกาอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาแอ็กชันเรื่องนี้อย่างไร โดย "อิทธิพร บุญประคอง" ประธาน กกต.ได้ระบุว่า การปราศรัยของ "ทักษิณ" และการกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง อบจ.นั้นเป็น "เรื่องก้ำกึ่ง" หมายถึง การกระทำดังกล่าวยังไม่สามารถชี้ชัดได้ในทันทีว่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ โดยต้องมีการพิจารณาบริบทและหลักฐานเชิงลึก อย่างละเอียดถี่ถ้วน

อีกทั้งคำว่า "ก้ำกึ่ง" ในบริบทนี้ หมายถึงการกระทำที่อยู่ในพื้นที่เทาของกฎหมาย ซึ่งอาจมีการตีความได้หลายแง่มุม โดยขึ้นอยู่กับหลักฐาน ข้อเท็จจริง และเจตนาในการกระทำ เมื่อมีข้อสงสัยว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง กกต.จะต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งออกเป็นขั้นตอนสำคัญดังนี้

บุคคลหรือพรรคการเมืองคู่แข่งสามารถร้องเรียนต่อ กกต.ได้ และ กกต.สามารถดำเนินการตรวจสอบได้เอง หากพบข้อสงสัยในสื่อหรือจากการติดตามสถานการณ์

หลังจากนั้นถ้ามีการรับเรื่อง จะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำการเก็บรวบรวม หลักฐาน เช่น วิดีโอปราศรัย เนื้อหาการปราศรัย ข้อมูลการอนุมัติงบประมาณจากรัฐบาล ความเชื่อมโยงระหว่างคำพูดของ "ทักษิณ" กับการขานรับของรัฐบาล

อีกทั้งจะต้องมีการเรียกพยานทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจง รวมถึงจะต้องตรวจสอบด้วยว่าข้อมูลทั้งหมดเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่น หรือกฎหมายอื่นๆ หรือไม่ ก่อนที่จะส่งเรื่องให้ที่ประชุม กกต.พิจารณา ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดจะต้องใช้ระยะเวลาสักพัก

กรณีของ "ทักษิณ" ที่กล่าวถึงนโยบายรัฐในการหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น เป็นกรณีที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับความยุติธรรมและความโปร่งใสในการเลือกตั้งไทย การใช้ทรัพยากรของรัฐในการหาเสียง ถือเป็นการเอาเปรียบคู่แข่งหรือไม่ การแจกเงินใกล้วันเลือกตั้ง ขัดต่อหลักกฎหมายเลือกตั้งหรือเปล่า เป็นการช่วยเหลือประชาชน หรือเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมือง

ประชาชนกำลังรอคำตอบจาก กกต.และการวินิจฉัยของกระบวนการยุติธรรมอย่างใกล้ชิด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง

ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

ศึกเลือกตั้งรอบใหม่ กับ 'สามก๊กฉบับชาติวิบัติ' ภาค 3

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามก๊กฉบับชาติวิบัติ ภาค 3 (มีการปรับเปลี่ยนฝ่ายและชื่อตัวละครให้สอดคล้องสถานการณ์)

สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ 'เพื่อไทย' จับตาใช้สูตรปี66 จัดลำดับ

สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์พท. แกนนำรุ่นใหญ่ ภูมิธรรม-สมศักดิ์-เสี่ยเพ้ง-สรวงศ์ ส่งลูก-หลังบ้าน-เครือญาติเข้าพรรค พวกย้ายพรรค-โยกสลับจากสอบตกเขตเพียบ จับตาอาจใช้สูตรเดิม เอาตัวเต็งรมต.ไว้ท้าย ลดแรงกระเพื่อม

ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง

หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"