หากถอดรหัสคำพูดของ "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับกรณีที่ถูกร้องเรียนจาก "นักร้อง" เห็นชัดว่า หากเป็นไปได้ไม่อยากมีคดีติดตัว
มีถึง 2 ครั้งที่ "อุ๊งอิ๊ง" พูดและสะท้อนให้รับรู้ได้ว่าไม่อยากมี และใช้ความระมัดระวังตัวสูง
ครั้งแรก 7 กันยายน 2567 “ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีคดีนะคะ พอมาถึงจุดนี้มีคดีก็จะพยายามรับมือให้ได้ดีที่สุด และจริงๆ ไม่อยากมีคดี ลูกยังเล็กอยู่เลยนะคะ”
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นระหว่างไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม ของพรรคเพื่อไทยหาเสียงเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2568
“วันนี้มาถึงพูดอะไรได้ไม่มาก โดนมองจับผิดว่าจะผิดกฎข้อนั้นข้อนี้ ตอนนี้นักร้องเสียงดีเยอะเหลือเกิน”
แต่การมาอยู่จุดนี้ "อุ๊งอิ๊ง" ย่อมรู้ดีว่าเป็นไปได้ยากที่จะหลีกเลี่ยงกระบวนการตรวจสอบ ฉะนั้นจึง "ตั้งการ์ดสูง" ระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างมาก
บทเรียนจาก "ทักษิณ ชินวัตร" ผู้เป็นพ่อ และ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ผู้เป็นอา ซึ่งเคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ถูกถอดออกมา และไม่เดินซ้ำ
ตรงไหนคือ "ความล่อแหลม" เสี่ยงที่จะลุกลาม จะถูกชะลอเอาไว้ เหมือนกับประเด็นคัดค้านเอ็มโอยู 2544 ที่ขณะนี้ยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา หลังจากฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยกเลิก
แต่การเป็น "ผู้นำ" มันยากที่จะไม่ถูกร้องเรียนเลย ในฐานะที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบ เนื่องจากเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด สามารถสั่งการ-ยกเลิกเรื่องต่างๆ ได้หมด
ต่อให้ระมัดระวังแค่ไหน รอบคอบแค่ไหน แต่มันคงไม่ละเอียดเท่ากับสายตาของคนที่คอยจับจ้องหาข้อผิดพลาด
และยิ่งเวลาในอำนาจมีนานขึ้นเรื่อยๆ ข้อผิดพลาด-ความบกพร่อง ย่อมมีมากขึ้นไปตามกาลเวลาที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ต่อให้ป้องกันเรื่องเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับ "พ่อ" และ "อา" แต่มันย่อมมีโอกาสเกิดประเด็นใหม่ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีตได้ด้วยเช่นกัน
เหมือนกับตอนนี้ที่ "อุ๊งอิ๊ง" กำลังถูกรุกไล่เรื่องการแต่งตั้ง "ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี" โดยใช้บรรทัดฐานจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาในกรณีของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.การคลัง ที่ขาดคุณสมบัติในการเสนอชื่อเป็นประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดแบงก์ชาติ
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา "กิตติรัตน์" ไม่ได้ตกรอบเพราะเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แต่เพราะอำนาจ-บทบาท-หน้าที่เรื่องการเป็นประธานแก้หนี้
โดยประเด็นนี้กำลังถูกขยายมายัง "หมอเลี้ยบ" นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หลังนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เจ้าเดิมที่เคยสกัด "กิตติรัตน์" ออกมาตั้งข้อสังเกตว่ากรณีของ "หมอเลี้ยบ" คล้ายคลึงกัน
นายพิชิตระบุว่า 1.นพ.สุรพงษ์มีตำแหน่งรองประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายของนายกรัฐมนตรี 2.ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และ 3.กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ
“เมื่อเทียบเคียงกับกรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เมื่อครั้งเป็นประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แล้วยังรับตำแหน่งประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยด้วย ซึ่งประธานกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยนั้นเป็นตำแหน่งที่กฤษฎีกาตีความว่าเป็นตำแหน่งที่มีลักษณะ 'ควบคุมบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามนโยบายสำคัญ' เมื่อมาเทียบเคียงกับกรณี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แล้ว ตำแหน่งที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร มอบให้ในข้อ 2-3 ที่เขียนมาตอนต้น เหมือนกับกรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้รับมอบหมายชัดเจน เช่นนี้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี คือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” นายพิชิตระบุ
อีกเรื่องที่ทุกคนจับจ้องตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่ง และมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบเกิดขึ้นแล้วตามคาดคือ "บัญชีทรัพย์สิน"
หลายครั้งที่คนในตระกูลชินวัตรเข้ามาบริหารประเทศ เรื่องการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินจะเข้มข้นมากกว่าปกติ เนื่องจากมีพื้นเพเป็นนักธุรกิจ
"ทักษิณ" ผู้เป็นพ่อเคยเจอศึกหนักเรื่องนี้มาแล้ว
ขณะที่ของ "อุ๊งอิ๊ง" ล่าสุด นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่เคยตรวจสอบเรื่องหุ้นของผู้เป็นพ่อ ขยับเรื่องนี้ด้วยการยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบเงินให้กู้ยืมของนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรสนายกรัฐมนตรี ที่ให้บริษัท วินน์ แคปปิตอลฯ
โดยนายเรืองไกรตั้งข้อสังเกตหลายประการ พร้อมขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบรายการเงินให้กู้ยืมของคู่สมรส จำนวน 12,770,000 บาท ถูกต้องหรือไม่, คู่สมรสเป็นกรรมการบริษัท วินน์ แคปปิตอล จำกัด หรือไม่, มีการนำดอกเบี้ยไปเสียภาษีรวมกับรายได้อื่นครบถ้วนหรือไม่, บริษัทผู้จ่ายดอกเบี้ยมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือไม่ และดอกเบี้ยดังกล่าวต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่, การแจ้งรายการดังกล่าวถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
"อุ๊งอิ๊ง" เองระบุแล้วว่าไม่กังวล แต่ดูแล้วประเด็นนี้อาจจบไม่ง่ายจนกว่าคำตอบจะเคลียร์
ขณะเดียวกันยังมีแนวโน้มว่า บรรดาทรัพย์สินหลักหมื่นล้านของนายกฯ อาจจะถูกขุดคุ้ยแบบละเอียดจากนักร้องต่อไปอีกระยะ ไม่ว่าจะเรื่องหุ้น ที่ดิน และเงินกู้ เพื่อหาข้อผิดพลาด
ด้วยความที่พ่อเป็นผู้เคยมีบาดแผลเรื่องนี้ ด้วยความเป็นบ้านนักธุรกิจที่ทรัพย์สินมหาศาล ประกอบกับกฎหมายที่เข้มข้น ทำให้ย่อมเป็นที่หมายปองของ "นักร้อง" และ "นักตรวจสอบ"
และแน่นอนว่า ด้วยความเป็นนายกฯ ยิ่งนานวัน คำร้องต่างๆ ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงความเข้มข้นของข้อร้องเรียน
เป็นสิ่งที่ต่อให้ระมัดระวังแค่ไหนก็หลีกเลี่ยงยาก.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ฮือฮา! 'เรืองไกร' ลงสนาม กทม. ชิงเก้าอี้เขต 4
พปชร. เคาะ 30 ผู้สมัคร กทม. 'ผู้กองมาร์ค' มั่นใจคว้าเก้าอี้ สส. ไม่น้อยกว่า 10 ที่นั่ง 'ฮือฮา 'เรืองไกร' ลงชิงเก้าอี้เขต 4
ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง
บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

