วิวาทะ ระหว่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ และ ‘พรรคประชาชน’ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งหลัก ‘ในการแย่งจัดตั้งรัฐบาล’ เมื่อครั้งการเลือกตั้งปี 66 วนกลับอีกครั้ง
ประจวบเหมาะกับการใกล้จะถึงเวลาปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังฉากละครตบจูบ ระหว่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ และ ‘พรรคภูมิใจไทย’ ปรากฏรอยร้าวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
จนทำให้มีการคาดการณ์ว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ปี 70 มีโอกาสมากที่ ‘พรรคสีแดง’ และ ‘พรรคสีส้ม’ อาจได้วนกลับมาจับมือกันอีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ย้ำถึงการจัดตั้งรัฐบาลแบบที่เป็นอยู่ ว่าพรรคประชาชนไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะไม่ได้นำประชาชนมาเป็นศูนย์กลางในสมการการตัดสินใจ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย
แต่ประโยคที่นายณัฐพงษ์ระบุถึงสิ่งที่สื่อสารมาโดยตลอดว่า ‘ถ้าพรรคเพื่อไทยจะสามารถรวมกับพวกเราได้ ก็อาจจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่าง’
ก่อนยกตัวอย่าง อาจจะต้องมีการสื่อสารว่า การกระทำที่ผ่านมา เขาทำผิดต่อประชาชนจริงๆ และต้องมีการสื่อสารเรื่องนี้อย่างชัดเจน ‘แต่ไม่อยากให้มองว่า เงื่อนไขการจับกับไม่จับมือกับพรรคใด เป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาชนตั้งขึ้นมาเองเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น’ จริงๆ พรรคอื่นๆ ฝั่งอื่นๆ ก็ตั้งเงื่อนไขกับเราเช่นเดียวกัน
พร้อมย้ำถึงเป้าหมายที่ต้องการว่า “ไม่ใช่แค่ชนะการเลือกตั้ง แต่คือหาทางออกให้กับประเทศ สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อถึงเวลาที่เงื่อนไขของโลกเปลี่ยน แต่เงื่อนไขที่ตนเองในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนสื่อสารไปแล้วว่า มีเงื่อนไขใดที่ทำให้จัดตั้งรัฐบาลกับพรรคใดไม่ได้ตั้งไว้ล่วงหน้า อาจจะยังถูกตั้งคำถามได้ในอนาคต และอาจจะกลายเป็นว่า อาจเป็นการปิดประตูให้กับประเทศหรือเปล่า ดังนั้นสิ่งที่เราสื่อสารมาตลอดว่า เราต้องการหาทางออกให้กับประเทศ เงื่อนไขในการจับหรือไม่จับมือกับพรรคใด ควรจะต้องไปหารือในช่วงใกล้ๆ การเลือกตั้ง”
และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร จะจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่อย่างไร ยืนยันว่า จุดยืนของพรรคประชาชนคือ ‘เราเสนอกับพี่น้องประชาชนว่าอย่างไรก่อนเลือกตั้ง หลังเลือกตั้งเราก็จะยืนยันแบบเดิม ไม่กลับไปกลับมา ว่าหาเสียงไว้แบบหนึ่งทำแบบหนึ่งแน่นอน’
ก็ยังทำให้คนสามารถไปตีความต่อว่า ‘นี่ไม่ใช่การปิดประตูตายเสียทีเดียว’ เพียงแต่พรรคเพื่อไทยอาจจะต้อง ‘แสดงสปิริต’ อะไรบางอย่าง เพื่อให้พรรคประชาชนสามารถนำไป ‘อธิบายกับฐานเสียงตัวเอง’ และป้องกันการถูกตราหน้าว่า ‘ตระบัดสัตย์’ เฉกเช่นที่ตัวเองกล่าวหาคนอื่นไว้มาตลอด
แม้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย จะพยายามยืนยันอย่างแน่วแน่ว่า “เขาเอาอะไรมาพูด ตอนนี้พรรคประชาชน หรือพรรคก้าวไกล ติดหล่มอยู่กับการตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ แต่ที่ตั้งไม่ได้ โทษใครไม่ได้ต้องโทษตัวเอง เพราะเขาจะเอา ม.112 อยู่นั่น“
พร้อมย้ำว่า “ระบบการเมืองคือระบบรัฐสภา ที่หากใครรวมส่งได้เกินกึ่งหนึ่งก็จะได้เป็นรัฐบาล เมื่อปี 2562 ที่พรรคเพื่อไทยชนะมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง พรรคพลังประชารัฐชนะเป็นอันดับสอง ซึ่งเราตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคเพื่อไทยจึงต้องมาเป็นฝ่ายค้านกับพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น เขาก็ไม่เห็นพูดอะไรสักคำ เพราะเขารู้ว่าเราชนะที่หนึ่ง แต่รวมเสียงไม่ได้”
“แต่พอเขาชนะเป็นพรรคลำดับหนึ่ง เพื่อไทยให้โอกาส แต่รวมเสียงยังไงก็รวมไม่ได้ สว.ไม่เอา ใครก็ไม่เอา เป็นคนไม่มีเพื่อน แล้วมาโทษคนอื่น แบบนี้แหละเขายังเป็นละอ่อน ก็คิดแบบละอ่อน บอกว่าจะมารวมกับพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ถามแล้วหรือยังว่าเราจะเอาหรือไม่ ยังไม่ได้บอกว่าเราจะเอามารวม แต่บอกว่าให้เราไปขอโทษประชาชน” ตอกย้ำแสดงความมั่นใจว่า ‘พรรคเพื่อไทยยังเป็นผู้กำหนดเกม’
แต่เมื่อมองลึกลงไป ในลักษณะการตอบของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในคำถามที่ว่า อนาคตมีทางนำพรรคพลังประชารัฐเข้ามาได้หรือไม่ เพราะตอนหาเสียง นางสาวแพทองธารเคยบอก ให้ดูหน้าดิฉัน จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร โดยนางสาวแพทองธารก็ตอบกลับทันทีว่า “ใช่คะ ที่บอกว่า ดูหน้าดิฉันไว้ จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร อันนี้คือ 2 ปีที่แล้ว เผอิญคะแนนมันไม่ถึง ก็เลยต้องจับกันหน่อย และจับมาสักพักแล้วเหมือนกันทำไมคำถามนี้ดีเลย์จัง“ อย่างไม่มีความกังวลใดๆ
นั่นสะท้อนให้เห็นว่า อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยก็ ‘ยังยืนยันอยากจะเป็นรัฐบาล’ และ ‘หากมีความจำเป็น’ พรรคเพื่อไทยก็คงไม่อาจปฏิเสธที่จะจับหรือไม่จับมือกับใครได้
ขณะที่ตัวแปรสำคัญอย่าง ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่พยายามรีแบรนด์ ‘พรรคสีน้ำเงิน’ เพื่อ ‘เสนอตัวเป็นผู้เล่นหลัก ในฝ่ายตัวแทนจากฝั่งอนุรักษนิยม’ ซึ่งนับวันจะมีแต้มต่อ คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดมีการคาดการณ์ว่า ในการเลือกตั้งรอบหน้า พรรคภูมิใจไทยอาจเบียดแซงมาเป็นเบอร์ 2 แทนที่พรรคเพื่อไทย พ่วงด้วยความสามารถควบคุมทิศทางของ ‘สว.’ ซึ่งยิ่งทวีอำนาจต่อรองให้แข็งแกร่งขึ้นอีก
หากเป็นเช่นนั้นจริง 3 พรรคใหญ่นี้ก็ต้องมาช่วงชิงจังหวะกันเอง และแน่นอนว่า 2 ใน 3 ที่สามารถหาจุดร่วมและเหตุผลเพื่อจับมือกันได้ก่อน ก็จะกลายเป็นผู้ชนะ และมีพรรคใดพรรคหนึ่งถูกปัดตกไปถูกทิ้งไว้ข้างหลังเป็นฝ่ายค้าน
สุดท้ายคำตอบของ ‘การจัดตั้งรัฐบาล’ ไม่ว่าจะกี่กาลสมัย อย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับ ‘ตัวเลขคณิตศาสตร์ทางการเมือง’ หรือคือจำนวน สส.ที่แต่ละพรรคจะได้มา นำมาผนวกรวม คิดคำนวณสมการประกอบกัน เพื่อให้ได้จำนวนที่มากพอ จะกุมอำนาจฝ่ายบริหาร.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วาระร้อนหลังเปิดสภาฯ12ธ.ค. จุดไฟการเมืองลุกโชนก่อนยุบ!
รัฐสภาจะกลับมาเปิดสมัยประชุมกันอีกครั้งตั้งแต่ 12 ธ.ค.นี้เป็นต้นไป ซึ่งหากจังหวะการเมืองเดินไปตาม MOA ที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทำไว้กับพรรคประชาชน ก็คือจะ ยุบสภาฯ ในวันที่ 31 มกราคม 2569
หาดใหญ่-สแกมเมอร์ทำรบ.'แต้มหล่น' 'อนุทิน'เปิดหน้าชนกู้เรตติ้ง
โดนล่อเป้าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอจากกรณีมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการปล่อยภาพที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล
'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
'ทักษิณ' ร่วมเวที 'เสก โลโซ' ร้องเพลงใจสั่งมา ในเรือนจำกลางคลองเปรม
"ทักษิณ" ขึ้นเวทีเรือนจำฯ ควงไมโครโฟนร้องเพลง "ใจสั่งมา" บรรยากาศอบอุ่นมวลความสุข เพื่อนผู้ต้องขังกว่า 1,000 คน ต่างลุกโชว์สเต็ปแด๊นซ์

