
"ทักษิณ ชินวัตร" ต้องลุ้นกับชะตากรรมตัวเองอีกครั้ง หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาคำร้องของ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยื่นเมื่อ 10 ม.ค.2568 ขอให้ศาลไต่สวนกรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกพิพากษาจำคุก 8 ปี (ลดโทษเหลือ 1 ปี) รักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่ 22 ส.ค.2566 โดยไม่ขออนุญาตศาล
ซึ่ง นายชาญชัย ระบุว่า การกระทำนี้อาจขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89, 89/2 และ 246 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การควบคุมตัวนักโทษ คดีนี้มีความสำคัญทั้งในมิติกฎหมายและการเมือง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับบุคคลสาธารณะที่มีอิทธิพล และอาจส่งผลกระทบต่อรัฐบาล "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี
โดยศาลมีคำสั่ง 2 ส่วนหลัก ยกคำร้องของชาญชัย ซึ่งศาลระบุว่า ชาญชัยไม่ใช่คู่ความ หรือผู้เสียหายในคดีที่เกี่ยวข้อง (คดีหมายเลขแดง อม.4/2551, อม.10/2552 และ อม.5/2551) จึงไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้อง
แต่ศาลเห็นว่า มีประเด็นน่าสงสัยว่าการบังคับโทษนายทักษิณอาจไม่เป็นไปตามหมายจำคุก จึงสั่งไต่สวน โดยส่งสำเนาคำร้องไปยังอัยการสูงสุด, คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), นายทักษิณ, ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ, อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงภายใน 30 วัน กำหนดนัดไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย.2568 เวลา 09.30 น.
คำสั่งนี้แสดงถึงการใช้อำนาจศาลในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายโดยตรง แม้ไม่มีผู้ร้องที่มีสิทธิ์ แสดงให้เห็นถึงความระมัดระวังของศาลในคดีที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ประเด็นหลักอยู่ที่การอนุญาตให้ "ทักษิณ" รักษาตัวนอกเรือนจำโดยไม่ขออนุญาตศาล โดยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 และ 89/2 กำหนดให้การควบคุมตัวต้องเป็นไปตามคำสั่งศาล การเปลี่ยนสถานที่ควบคุมต้องได้รับอนุญาตจากศาล มาตรา 246 ระบุว่า การปฏิบัติต่อนักโทษต้องเป็นไปตามกฎหมายและคำสั่งศาล พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 มาตรา 55 วรรคสอง
โดยกรมราชทัณฑ์อ้างอำนาจนี้ในการอนุญาตให้นักโทษรักษาตัวในโรงพยาบาลได้ แต่ฝ่ายผู้ร้องแย้งว่าเป็นกฎหมายรองและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา การไต่สวนจะตรวจสอบว่าการอนุญาตของกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่ และอาจพิจารณาว่าการรักษาตัวของทักษิณจำเป็นในทางการแพทย์จริงหรือไม่
คดีนี้เป็นที่จับตาจากฝ่ายต่อต้านนายทักษิณ โดยเฉพาะกลุ่มที่มองว่าเขาได้รับการปฏิบัติพิเศษ หรือ “ป่วยทิพย์” การที่นายทักษิณถูกย้ายจากเรือนจำไปโรงพยาบาลเพียง 12 ชั่วโมงหลังถูกคุมขังเมื่อ 22 ส.ค.2566 และพักรักษาตัวต่อเนื่องเกิน 120 วัน โดยได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กระตุ้นข้อครหาเรื่องการเลือกปฏิบัติผลกระทบต่อรัฐบาล
หากศาลวินิจฉัยว่า การบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจนำไปสู่คำสั่งให้ควบคุมตัวนายทักษิณในเรือนจำ และนำไปสู่การเอาผิดข้าราชการที่มีส่วนรู้เห็น สร้างแรงกดดันต่อ "แพทองธาร ชินวัตร" ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายทักษิณ และฝ่ายการเมืองที่อาจมีส่วนรู้เห็นในกระบวนการนี้
ด้านฝั่งฝ่ายค้านพรรคประชาชน อาจใช้ประเด็นนี้โจมตีรัฐบาล โดยเฉพาะในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ และยื่นข้อกล่าวหาต่อนายกรัฐมนตรีฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ส่วนฝั่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังสอบสวนกรณีนี้ โดย ป.ป.ช.ตั้งคณะไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐ 12 ราย รวมถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ฐานเอื้อประโยชน์ต่อทักษิณ
ด้าน ดร.ธีร์รัฐ บุนนาค ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ชื่นชมคำสั่งศาลฎีกาที่สั่งไต่สวนเอง โดยเห็นว่าเป็นการปกป้อง “ประโยชน์แห่งความยุติธรรม” และเป็นตัวอย่างของการที่ศาลใช้อำนาจตรวจสอบการบังคับโทษให้เป็นไปตามกฎหมาย แม้ผู้ร้องจะไม่มีสิทธิ์ยื่นคำร้องก็ตาม
ส่วน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ระบุถึงประเด็นดังกล่าวว่า "สิ่งที่หลายคนตั้งคำถาม การไต่สวนของศาลฎีกาจะจบที่ใครบ้างนั้นน่าสนใจ ถ้าสมมติว่าผลออกมาว่า นายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตจนต้องส่งตัว หรือถือว่าไม่ได้ติดคุกจริง หรือไม่มีการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษา เรื่องนี้น่าจะขยายไปสู่ผู้ให้ความร่วมมือ ทั้งแพทย์ที่เกี่ยวข้องของ รพ.ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ อาจจะโยงไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่สำคัญ ผมเคยทำเรื่องนี้ร้องไปที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งด้วย ซึ่งนายกฯ ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ให้คาดเดาละกันว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งสมควรโดน มาตรา 157 หรือไม่"
เช่นเดียวกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ระบุว่า "เหตุการณ์นี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เพราะรัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร อยู่ได้เพราะทักษิณค้ำยันไว้ ถ้าทักษิณมีเหตุอันใดทำให้เป็นไปทางลบแล้ว นายกฯ ผู้เป็นลูกย่อมอยู่ยาก"
คำสั่งศาลฎีกาครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของศาลในการตรวจสอบกระบวนการบังคับโทษของทักษิณ ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยว่ามีการปฏิบัติมิชอบหรือไม่ ผลการไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.2568 จะเป็นตัวกำหนดทิศทางคดี หากพบการกระทำผิดกฎหมาย อาจนำไปสู่การสั่งควบคุมตัวนายทักษิณในเรือนจำ หรือการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในทางกลับกัน หากศาลยอมรับคำชี้แจงของราชทัณฑ์และโรงพยาบาล คดีนี้อาจยุติลงโดยไม่กระทบตัวทักษิณ
อย่างไรก็ตาม คดีนี้จะยังคงเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลเพื่อไทยเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายค้าน และกลุ่มต่อต้านทักษิณ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน
คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า
ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม
ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ศาลฎีกาพิพากษายืน คุกตลอดชีวิต สมาขิกเเก๊งค้ายาเล่าต๋า
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่อย.5907/2559 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก


