ก่อนจะถึงวันประชุม คณะกรรมการแพทยสภา ในวันพฤหัสบดีหน้า 12 มิ.ย. ที่หลายคนต่างเฝ้าติดตามกันว่าที่ประชุมแพทยสภาจะมีการลงมติยืนยันมติเดิมของแพทยสภาเมื่อ 8 พ.ค. ที่ให้ลงโทษแพทย์ 3 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษานายทักษิณ ชินวัตร อย่างไร?
หลังเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้ทำการวีโตมติแพทยสภาดังกล่าว ส่งผลให้ที่ประชุมแพทยสภาต้องนำเรื่องนี้มาหารือและลงมติอีกครั้งว่า จะยังคงยืนยันมติเดิมหรือจะเห็นด้วยกับการวีโตของ รมว.สาธารณสุข ท่ามกลางกระแสข่าว ฝ่ายการเมืองในกระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายการเมืองในรัฐบาลพยายามล็อบบี้กรรมการแพทยสภาโดยตำแหน่ง ที่เป็นพวกข้าราชการ ไม่ให้เข้าประชุม-ไม่ให้ส่งตัวแทนไปร่วมประชุม หรือหากไปประชุมก็ให้ลงมติเอาด้วยกับการวีโตของสมศักดิ์
อย่างก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวฝ่ายการเมืองในกระทรวงกลาโหม มีการล็อบบี้ไม่ให้เจ้ากรมแพทย์ทหารบก-เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ-เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ เข้าประชุม หรือเข้าประชุมแต่ให้ลงมติไปในทางล้มมติเดิมแพทยสภา เพื่อสนับสนุนการวีโตของสมศักดิ์ รวมถึงกระแสข่าวการล็อบบี้กับกรรมการในสาย ก.สาธารณสุข เป็นต้น
กระแสข่าวทั้งหมดยิ่งทำให้หลายฝ่ายเพ่งมองการประชุมแพทยสภา 12 มิ.ย.นี้อย่างมาก จนทำให้บางฝ่ายออกมาดักทางไว้ก่อน เพื่อตีกันไม่ให้การล็อบบี้ทำได้สำเร็จ
อย่างเช่นการขยับของ "นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ สมาชิกแพทยสภา-อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย" ที่ระบุว่า
“ฝ่ายที่ต้องการล้มมติคือฝ่ายทักษิณ ชินวัตร (ซึ่งไม่ใช่แพทย์ที่ถูกลงโทษ) จึงมีความพยายามใช้อำนาจที่มี กดดันกรรมการแพทยสภาโดยตำแหน่ง ไม่ให้ร่วมประชุม ไม่ให้ส่งผู้แทน หรือเข้าประชุม แต่ไม่เห็นชอบกับมติเดิม เพื่อไม่ให้เสียงเห็นชอบถึงจำนวนที่กำหนด
ขอสนับสนุนให้ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ยืนยันมติเดิม เพื่อแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการรักษามาตรฐานของวิชาชีพแพทย์ และความน่าเชื่อถือของแพทยสภา อย่าปล่อยให้อำนาจภายนอกมาขัดขวางทำลายความน่าเชื่อถือและเกียรติภูมิของวิชาชีพแพทย์”
นอกจากนี้ นพ.ตุลย์ และกลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคม ได้นัดหมายกันที่จะนำรายชื่อประชาชนที่ร่วมกันลงชื่อ ให้กำลังใจแพทยสภา ไปยื่นในวันที่ 5 มิ.ย.68 เวลา 11.00 น. ที่อาคารแพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข และต้องการพบ ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา เพื่อมอบจดหมายพร้อมรายชื่อผู้สนับสนุนให้กำลังใจแพทยสภา
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหนึ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ใน ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2563 ข้อ 43 ที่เป็นเรื่องของการที่ให้แพทยสภานัดประชุมเพื่อลงมติว่าจะยืนยันมติเดิมของแพทยสภา ที่ให้ลงโทษแพทย์ที่ถูกสอบสวนจริยธรรมหรือไม่ ในกรณีสภานายกพิเศษมีคำสั่งยับยั้งมติแพทยสภา ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวเขียนไว้ว่า การยืนยันมติเดิม ต้องมีเสียงยืนยันมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งคณะ แต่ "ในกรณีที่เสียงยืนยันมติตามวรรคสองน้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการทั้งคณะ ให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดใหม่ตามข้อ 42 วรรคหนึ่ง (2) ต่อไป"
โดยพบว่า ข้อ 42 (2) ดังกล่าว เขียนไว้ว่า
“ในการพิจารณาสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นของคณะอนุกรรมการสอบสวน และความเห็นของคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดทีละประเด็น
(2) กรณีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาด ให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด ดังนี้
(2.1) พฤติกรรมที่ปรากฏ ไม่ผิดข้อบังคับ ประกาศ ข้อกำหนด หรือกฎเกณฑ์อื่นใดเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ให้ยกข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษ
(2.2) พฤติกรรมที่ปรากฏ ว่าผิดตาม (2.1) ก่อนลงโทษจริยธรรมให้พิจารณาประกอบด้วย โทษทางจริยธรรมมีดังนี้ 1.ว่ากล่าวตักเตือน
2.ภาคทัณฑ์
3.พักใช้ใบอนุญาตมีกำหนดเวลาตามที่เห็นสมควร แต่ไม่เกินสองปี
4.เพิกถอนใบอนุญาต
ที่ก็หมายถึง แม้ต่อให้วันที่ 12 มิ.ย. เสียงโหวตของกรรมการแพทยสภาไม่ถึง 2 ใน 3 แต่ไม่ได้ทำให้เรื่องยุติลง
เพราะข้อบังคับฯ ยังให้อำนาจกรรมการแพทยสภามาพิจารณากันใหม่อีกครั้ง ว่าจะยืนยันลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คนหรือไม่ แต่บทลงโทษจะต้องไม่เหมือนเดิม เช่น แพทย์บางคน มติแพทยสภารอบแรกตอน 8 พ.ค.โดนให้พักใบอนุญาต 6 เดือน ที่ประชุมแพทยสภา หากยืนยันว่าต้องมีการลงโทษ ก็ต้องพิจารณาโทษใหม่ เช่น หากจะพักใบอนุญาต ก็อาจลดเหลือสามเดือน โดยหากแพทย์ที่โดนลงโทษไม่เห็นด้วย ก็ยื่นฟ้องศาลปกครองต่อไป ขณะเดียวกันก็อาจลงมติใหม่ เป็นไม่ลงโทษก็ได้ถ้าเสียงส่วนใหญ่เอาตามนั้น แต่ไม่ได้ทำให้เรื่องสิ้นสุดลง แต่หากออกมาไม่ลงโทษเลย แพทยสภาจะเสียหายหนัก
เรื่องนี้ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา อดีตนายกแพทยสภา กล่าวกับ ทีมข่าววิเคราะห์สถานการณ์ ไทยโพสต์ ว่า หากผลประชุมแพทยสภาวันที่ 12 มิ.ย. เสียงโหวตยืนยันมติเดิมไม่ถึง 2 ใน 3 เท่ากับว่ามติลงโทษตามผลประชุมเมื่อ 8 พ.ค.ไม่มีผล ใช้ไม่ได้ แต่ไม่ได้ทำให้การสอบสวนลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คนยุติลงหรือหายไปเลย แต่แพทยสภาต้องประชุมลงมติอีกครั้งว่าจะลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คนหรือไม่ ซึ่งที่ประชุมอาจลดโทษลงจากเดิม เช่น ลดเวลาในการพักใบอนุญาตลดลงจากมติเดิม หรือแม้แต่กับมีมติไม่ลงโทษเลยก็ได้ แต่ที่ผ่านมา สมัยที่ผมเป็นนายกแพทยสภา ส่วนใหญ่หากสภานายกพิเศษวีโตมา ที่ประชุมแพทยสภาก็ลงมติยืนยัน 2 ใน 3 ทุกครั้ง ไม่เคยมีปัญหา แต่รอบนี้หลายคนก็เป็นห่วงว่าเสียงอาจไม่ถึง กรรมการโดยตำแหน่งจะไม่เข้าประชุมและไม่ส่งตัวแทนมา
“แพทยสภาต้องรักษาเกียรติยศชื่อเสียงองค์กรไว้ หากคนขาดศรัทธาแพทยสภา แพทย์จะเสียหายมาก เช่น หากมาไม่ครบองค์ประชุม ก็แย่แล้ว แสดงว่าระบบมันแย่ ผมว่าควรมีการเปิดเผยด้วยว่ามีกรรมการคนไหนเข้าประชุม ไม่เข้าประชุม และการลงมติวันที่ 12 มิ.ย.ก็ควรลงมติโดยเปิดเผย เรียกชื่อทีละคนเลย ว่าใครลงมติอย่างลับ และไม่ควรลงมติลับ” นพ.สมศักดิ์ อดีตนายกแพทยสภาระบุ
ความเห็นดังกล่าวของอดีตนายกแพทยสภา เป็นเรื่องที่หลายคนคงเห็นด้วย เพราะหากมติแพทยสภา 12 มิ.ย. ไม่ยืนยันมติเดิม เท่ากับว่า มติแพทยสภามีการชักเข้า-ชักออก ทำให้แพทยสภาย่อมถูกมองว่า มีการล็อบบี้ได้-กรรมการไม่มีจุดยืนหลักการที่แน่ชัดในการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ ทั้งที่เป็นองค์กรวิชาชีพของแพทย์ ผลก็คือทำให้แพทยสภาเสียความน่าเชื่อถือ
กรรมการแพทยสภาที่ไม่ต้องการให้มติแพทยสภาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนเสียความน่าเชื่อถือ และไม่ต้องการเสียเวลากลับมาพิจารณาเรื่องเดิม ก็ต้องเข้าประชุมและลงมติยืนยันมติเดิม แต่เสียงจะถึง 2 ใน 3 หรือไม่ ต้องไปลุ้นอีกที.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


