วัดใจ"แพทยสภา" ไม่เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า สวน"สมศักดิ์"รักษาศักดิ์ศรีแพทย์

การประชุมแพทยสภา วันพฤหัสบดีที่ 12 มิ.ย. ตกอยู่ในความสนใจของคนทั้งประเทศ เพราะถือเป็นการประชุมที่มีเดิมพัน ศักดิ์ศรี-ศรัทธา-ความเชื่อมั่น ที่สังคม และวงการแพทย์ทั่วประเทศ จะมีต่อ "แพทยสภา" ที่เป็นองค์กรวิชาชีพของแพทย์ทั่วประเทศเกือบ 70,000 คน ว่าจะยืนยันมติเดิมเมื่อ 8 พ.ค. ที่ให้ลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวและรักษานายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ เป็นเวลา 181 วัน หรือไม่ หรือจะเอาด้วยกับการวีโตของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแพทยสภา ที่วีโตให้ยกโทษ-ไม่เอาผิดแพทย์ 3 คนในทุกกรณี ชนิดใครอ่านเหตุผลการวีโตของสมศักดิ์ ต่อให้ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ ก็ต้องร้องอุทาน "จอสระอึ้ง สมศักดิ์ ทำไปได้"

 ทั้งนี้ ขั้นตอนการประชุมแพทยสภา วันที่ 12 มิ.ย.นี้ จะเริ่มพิจารณาวาระเรื่องการวีโตของสมศักดิ์ ในเวลา 12.00 น. ที่สมศักดิ์คอนเฟิร์มแล้วว่ามาแน่ จะขอบุกเข้าห้องประชุมแพทยสภาด้วยตัวเอง เพื่อชี้แจงเหตุผลการวีโตดังกล่าว อันเป็นแอ็กชันของสมศักดิ์ ที่คงทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังทำโผ ครม. "อิงค์ 1/1" ตอนนี้ถูกใจยิ่งนัก เก้าอี้ รมว.สาธารณสุข น่าจะยังเหนียวหรืออาจขยับให้ใหญ่ขึ้น ก็มีลุ้น 

 จากนั้นเมื่อสมศักดิ์ชี้แจงเสร็จก็จะออกจากห้องประชุม แล้วกรรมการทั้งหมดจะอภิปรายแสดงเหตุผลว่า ประเด็นการวีโตของนายสมศักดิ์เป็นอย่างไร และตามด้วยการถามมติที่ประชุมว่าจะเห็นด้วยกับการวีโตของนายสมศักดิ์ที่ให้ยกโทษไม่เอาผิดแพทย์ทั้ง 3 คน หรือจะยืนยันมติเดิมเมื่อ 8 พ.ค. ที่ลงโทษแพทย์ 3 คน คือ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตร. ถูกลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม, พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผช.ผบ.ตร. และอดีตนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตร. ที่ถูก พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม และ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ ถูกลงโทษแค่กล่าวตักเตือน ในกรณีเขียนใบส่งตัวล่วงหน้า

โดยมติยืนยันการลงโทษตามมติเดิม จะต้องได้เสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของกรรมการแพทยสภา คือ 47 เสียง จากกรรมการแพทยสภา 70 คน ไม่ได้คิดจากกรรมการที่เข้าประชุมแต่อย่างใด แต่คิดจากกรรมการที่มีอยู่ตามกฎหมายคือ 70 คน 

อย่างไรก็ตาม จะมีกรรมการแพทยสภาบางคนไม่สามารถออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมได้ เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียกับการพิจารณา คือ พล.ต.ท.นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ สนง.ตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นหนึ่งในแพทย์ 3 คน ที่ถูกลงโทษให้พักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และต้องดูว่ากรรมการแพทยสภาจะเสนอให้กรรมการแพทยสภาที่เป็นอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรม ต้องงดออกเสียงด้วยหรือไม่ ซึ่งก็จะมี เช่น ศ.พิเศษ นพ.อมร ลีลารัศมี ประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรม, ผศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ กรรมการแพทยสภา หนึ่งในอนุกรรมการที่สอบสวนกรณีดังกล่าว เป็นต้น ทำให้เสียงก็จะหายไปอีกส่วนหนึ่ง 

ทั้งนี้ กรรมการแพทยสภาที่เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง เช่น ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข หรือคณบดีแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ จำนวน 35 คน หากไม่เข้าประชุมสามารถส่งตัวแทนเข้าประชุมและออกเสียงแทนได้ แต่กรรมการที่มาจากการเลือกตั้งอีก 35 คน หากไม่เข้าประชุม ไม่สามารถส่งตัวแทนมาประชุมแทนได้ ก็จะถือว่าขาดประชุม

อย่างไรก็ตาม ตามข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2563 ข้อ 43 ที่เป็นเรื่องของการที่ให้แพทยสภานัดประชุมเพื่อลงมติว่าจะยืนยันมติเดิมของแพทยสภา ที่ให้ลงโทษแพทย์ที่ถูกสอบสวนจริยธรรมหรือไม่ ในกรณีสภานายกพิเศษมีคำสั่งยับยั้งมติแพทยสภา ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวเขียนไว้ว่า การยืนยันมติเดิม ต้องมีเสียงยืนยันมติไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งคณะ แต่ "ในกรณีที่เสียงยืนยันมติตามวรรคสองน้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งคณะ ให้คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดใหม่ตามข้อ 42 วรรคหนึ่ง (2) ต่อไป"

ที่หมายถึงหากสุดท้าย เสียงโหวตในที่ประชุมไม่ถึง 2 ใน 3 การสอบสวนและลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คน ยังไม่ตกไป กรรมการแพทยสภายังมีอำนาจประชุมและลงมติใหม่ได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องมีการสอบสวนใหม่ แต่การลงมติรอบใหม่ บทลงโทษจะต้องแตกต่างจากครั้งแรก เมื่อ 8 พ.ค. เช่น กรณีที่ให้พักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์ นพ.ทวีศิลป์-พล.ต.ท.โสภณรัชต์ จะต้องมาลงมติกันใหม่ โดยอาจจะลดเวลาในการพักใบอนุญาตลง เช่น จาก 6 เดือนอาจลดเหลือ 4 เดือน เป็นต้น จากนั้นก็ส่งมติดังกล่าวไปให้นายสมศักดิ์อีกครั้ง เพื่อพิจารณาว่าจะวีโตหรือไม่ รวมถึงอาจจะลงมติยกโทษให้แพทย์ทั้ง 3 คนเลยก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นแน่นอน เพราะถ้าแพทยสภาไปถึงขั้นนั้น คงเกิด วิกฤตศรัทธา รุนแรงต่อแพทยสภา 

“รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล กรรมการแพทยสภาและอาจารย์ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และอดีตนายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์” ยืนยันว่า การพิจารณาและลงมติของแพทยสภาตัดสินไปตามแนวทางจริยธรรมการประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่มีอคติส่วนบุคคลหรืออคติทางการเมืองใดๆ การพิจารณาของกรรมการแพทยสภาไม่ได้มีนอกมีใน ไม่ได้มีเรื่องอื่นภายนอกที่จะมามีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจของกรรมการแพทยสภา เรายึดอยู่กับความถูกต้องตามกฎเกณฑ์ หลักเกณฑ์จริยธรรมวิชาชีพ

“โดยส่วนตัวเชื่อว่ามติของแพทยสภาจะยืนยันสิ่งที่สังคมคาดหวังกับบทบาทของแพทยสภา และผมคิดว่ากรรมการท่านอื่นๆ ก็คงคิดไม่แตกต่างจากผม มั่นใจว่าแพทยสภาจะยืนหยัดบนหลักการความถูกต้องในวิชาชีพ”

ขณะที่ความเห็นอาจารย์หมอ-แพทย์ผู้ใหญ่ในวงการสาธารณสุข ศ.เกียรติคุณ นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา อดีตนายกแพทยสภาหลายสมัย กล่าวเช่นกันว่า การลงมติของแพทยสภาที่ผ่านมาไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนใหญ่ก็จะยืนยันมติเดิม เสียง 2 ใน 3 ก็ถึงทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ก็กลัวไม่ได้ เพราะมันมีการเมือง หมอส่วนใหญ่อยากให้เป็นไปตามความถูกต้อง เพราะสามัญสำนึกคน ชาวบ้านเห็นกันอยู่แล้วว่า คนไข้ (ทักษิณ) ไม่ได้ป่วยหนัก ครึ่งเดือนก็เดินได้เลย หากป่วยหนัก ออกมาไม่ได้ ต้องนอน แสดงว่าอาการไม่หนักแน่ ที่ป่วยวิกฤตคงไม่ใช่ คืออาจวิกฤตวันแรกก็ได้ แต่ต่อไปคงไม่ใช่ คงไม่นานขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าไม่จริงแน่ที่จะป่วยหนักตลอด

"แพทยสภาต้องรักษาเกียรติยศ ชื่อเสียงขององค์กรไว้ เรื่องนี้สำคัญ เพราะหากคนขาดศรัทธา หมอจะเสียหายมาก อยากให้พวกหมอเรา ตัดสินด้วยความเป็นธรรม เป็นกลาง ว่าไปตามความถูกต้อง หากเราไม่ทำตามความถูกต้อง จะเสียหายทั้งระบบ ความเชื่อถือในวงการแพทย์จะเสียไป ซึ่งหากเกิดขึ้นแบบนี้เป็นเรื่องที่แย่" อดีตนายกแพทยสภาหลายสมัยระบุ

มติแพทยสภา 12 มิ.ย.จะออกมาอย่างไร ต้องติดตามกันว่าจะมีกรรมการคนใดไม่กล้าเข้าประชุม เพราะกลัวโดนแรงกดดันทางการเมืองหรือไม่ และผลการลงมติจะออกมาอย่างไร จะยืนยันมติเดิม หรือจะเอาด้วยกับการวีโตของสมศักดิ์ ซึ่งหากเป็นแบบหลัง คงไม่ต่างอะไรกับ การชักเข้าชักออก-เขียนด้วยมือ ลบด้วยตีน นั่นเอง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง

ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง

หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

‘สมศักดิ์-อนุชา’ ลุยอยุธยา รับฟังชาวนา เจอปัญหาข้าวดีด-ต้นทุนพุ่ง

“สมศักดิ์-อนุชา” พาผู้สมัคร “จิรทัศ” ลงพื้นที่อยุธยา รับฟังปัญหาเกษตรกร เจอปัญหา”ข้าวดีด”หลังห้ามเผาฟาง ทำต้นทุนผลิตสูง ไร่ละ 6,000 บาท ชาวนาหวังช่วยการันตีข้าวดิบตันละ 8,000 บาท แนะ แก้ปัญหายั่งยืน ทำกฎหมายข้าว คิดต้นทุนใหม่-ให้กำไรเกษตรกร 30% ขอเชื่อมั่น เพื่อไทย ทำได้อย่างแน่นอน

ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’

นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ