ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้ง ตึงเครียด ละเอียดอ่อน อ่อนไหว หรือควรใช้คำใดก็แล้วแต่ใครจะนิยาม จากเหตุการณ์ปะทะบริเวณ ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้
ท่ามกลางสงครามข้อมูลข่าวสารที่สามารถหยิบยกนำมาโจมตีกันได้ทุกเรื่อง และทุกเมื่อ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์สังคม กระตุ้นกระแสชาตินิยม หรือชี้นำคนให้เอนเอียงไปตามความประสงค์ของผู้ที่ผลิตขึ้น
"วาทกรรม" หนึ่งที่ถูกนำวนกลับมาด้วย คือ “ทหารมีไว้ทำไม?” ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ผู้เกือบได้เข้าใกล้ตำแหน่ง ที่จะสามารถกุมอำนาจนำในฝ่ายบริหาร
แม้นายพิธาพยายามเน้นในภายหลังว่า “ทหารมีไว้เพื่อปกป้อง ไม่ใช่ปกครองประเทศ”
ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมว่า “การพูดในตอนนั้น พูดในบริบท ประชาชนที่รู้สึกว่า โดนทหารรังแก การรบ ในคำว่าทหารของผม ไม่ได้หมายถึงทหารทุกคน แต่มองเพียงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการคอร์รัปชันในกองทัพ เมื่อมีภัยมา เพราะเราไม่ได้มีปัญหาเรื่องสมรภูมิทางการทหาร ดังนั้น สงครามรบแบบเดิม ที่นำทหารมาเจอกับทหาร เราสูงกว่ากัมพูชาเป็น 10 เท่า แต่สิ่งที่เราแพ้คือ เรื่องสงครามการทูต และสงครามกฎหมาย จึงกลายเป็นปัญหาขึ้นมา”
ด้วยการย้ำว่า “ผมต้องการเห็นกองทัพที่ทันสมัย มีความมั่นคง มีสิทธิมนุษยชน ที่พร้อมรบกับปัญหาภัยความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ที่มีมากกว่าแค่การเอาทหารมาเผชิญหน้ากัน และทำให้ประชาชน หรือทหารต้องสูญเสียเลือดเนื้อ ลงทุนที่ ยุทโธปกรณ์ สิ่งของจำเป็น และเทคโนโลยี กองทัพสมาร์ท มีขนาดเล็กลง นำเงินไปดูแลครอบครัว และสวัสดิการเขาให้ดีขึ้นมากกว่า นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจ”
แต่ไม่ว่าจะใช้กี่คำพูด เพื่อขยายความ ณ ตอนนี้ ก็ดูจะต้าน ‘กระแสธารความเกลียดชัง’ ไม่ทันเสียแล้ว
เพราะอีกหนึ่งประโยคที่ตามมาติดๆ คือ “คุณจะไปรบกับใคร สมมุติมีคนมารุกราน ผมก็ไม่เชื่อว่าคุณจะรบชนะด้วย” หรือ “ประเทศที่เคยอยู่ใกล้ๆ กัน ที่มันเคยทะเลาะกัน วันนี้มันไม่ทะเลาะกันแล้ว บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพด้วยซ้ำไป ถ้าผู้นำฉลาดพอ นี่คือเรื่องกฎกติกาสากล เรื่องระเบียบโลก ยิ่งประเทศเล็กๆ อย่างพวกเรา ยิ่งต้องฉลาด”
กลับยิ่งทำให้ถูกนำคำนั้นๆ ย้อนถามต่อตัวนายพิธาเองว่า ‘ประเทศใกล้กัน วันนี้มันกำลังทะเลาะกันอยู่ วันนี้มันไม่ทะเลาะกันแล้ว’ พ่วงกับการตั้งข้อสังเกตไปอีกว่า ‘บริบทโลกที่นายพิธาเข้าใจ’ เป็นอย่างไร
เมื่อภัยที่เรากำลังผจญอยู่นี้ คู่กรณีคือ ‘กัมพูชา’ ประเทศที่มี ‘ผู้นำประเทศ’ ซึ่งอาจไม่ได้ยึดโยงกับกติกาสากล หรือยืนบนหลักการพื้นฐาน ภายใต้อนุสัญญาร่วมกันของประเทศส่วนใหญ่ในสังคมโลกมากนัก ในมุมการใช้ทุ่นระเบิด หรือการโจมตีมาในพื้นที่ของพลเรือน และโรงพยาบาล
ล่าสุดนายพิธาได้โพสต์ข้อความด้วยว่า "กัมพูชามีความเสี่ยงมากกว่าไทย ในเรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา รัฐบาลอาจเลือกที่จะทำสงคราม แต่เป็นภาคเอกชนและแรงงานที่ต้องรับผิดชอบ ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเปราะบาง เราเต็มใจที่จะเสี่ยงเกือบ 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจโดยไม่มีเหตุผลที่ดีจริงหรือ"
ขณะที่ภาคเอกชนกลับมองตรงข้าม โดย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จุดยืนที่ชัดเจนของไทยคือ การปกป้องอธิปไตย รวมถึงชีวิตและทรัพย์สินประชาชนที่มีความสำคัญสูงสุด แม้ปัญหาเศรษฐกิจจะมีความสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของชาติ แต่หากไม่มีอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนแล้ว เศรษฐกิจไม่สามารถดำรงอยู่ได้
“ภาคเอกชนมองว่าเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนประเทศ แต่ยังคงยืนยันในหลักการที่ว่าอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะหากชาติมั่นคง เศรษฐกิจก็จะดีตามมาได้” ประธาน ส.อ.ท.กล่าว
ด้าน นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ที่ถูกข้อหาหนีทหาร พูดทำนองเดียวกันกับนายพิธาว่า "ถ้ามีสงครามจริงๆ รบกับใครไม่ได้หรอก ผมมั่นใจ 100% เขารบร่วมกันยังไม่ได้เลย กองทัพเรือ กองทัพบก กองทัพอากาศ มีสงครามไม่ต้องห่วง รบกับใครไม่มีทางชนะ"
อย่างไรก็ตาม หากพูดแค่ในเพียงเรื่อง ‘หลักการ’ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ‘พลเรือนนำทหาร’ หรือ ‘พลเรือนเหนือกองทัพ’ คือเป้าหมายที่หลายประเทศเห็นพ้องต้องกัน และอยากให้ทำเป็นบรรทัดฐานที่ควรต้องปฏิบัติตาม
อย่างในสาระสำคัญของ ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ฉบับพรรคประชาชน ที่พร้อมเดินหน้าเข้าสู่จุดมุ่งหมายข้างต้น ก็ได้มีการยืนยันหนักแน่นว่า การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่การ ‘แทรกแซงกองทัพ’ และไม่ใช่กรณีที่นักการเมืองสร้างเงื่อนไขให้กองทัพปฏิวัติรัฐประหาร
เนื่องจากพรรคประชาชนเชื่อว่า ปฏิกิริยาของประชาชนต่อความเห็นดังกล่าว คือสิ่งที่สะท้อนได้ดีที่สุดว่า วันนี้สังคมไทยไม่เหมือนเดิม ประชาชนเดินทางทางความคิดมาไกลเกินกว่าจะกลับไปยอมรับการปฏิวัติรัฐประหาร และการแก้ไขกฎหมายเพื่อปฏิรูปกองทัพ เป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้ ในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หากประชาชนแสดงเจตจำนงแล้วว่า ‘กองทัพจำเป็นต้องถูกปฏิรูป’
ทว่าด้วยสถานการณ์ไม่ปกติขณะนี้ ยิ่งส่งผลดี ชูให้ ‘บทบาทนำของกองทัพ ในฐานะฮีโร่ผู้พาประเทศฝ่าวิกฤต’ ถูกนำมาเปรียบเทียบกับ ‘ฝ่ายการเมือง’ ที่ดูจะไม่ค่อยเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนมากเท่าไหร่นัก เท่าการที่บรรดาทหารเสียสละชีวิตปกป้องอธิปไตยของไทยอยู่ ณ ชายแดน
ทำให้นับแต่นี้ไป พรรคประชาชน คงไม่สามารถใช้ วาทกรรมฉาบฉวย หรือกลยุทธ์ เพื่อใช้ในการหาเสียง ฉกฉวยคะแนนจากความนิยมที่ต่ำลงของ ‘ผู้นำที่เป็นทหาร’ ในคราวก่อนได้อีกแล้ว แต่ต้องประคับประคองตัว ปรับการสื่อสารนโยบายให้นุ่มนวล ไม่เช่นนั้นแนวร่วมที่เคยจับมือร่วมกันมา ก็อาจตัดสินใจไม่กลับมาอีก ในการเลือกตั้ง 2570
ตราบใดที่โจทย์สำคัญของ ‘ประเทศไทย’ ยังคงมีสิ่งท้าทายอย่างยิ่งยวด คือ ‘จะทำอย่างไร ให้ทหารและพลเรือนอยู่ร่วมกันได้’ ในการหาสมดุลจุดกึ่งกลางของการคานอำนาจ ระหว่าง ‘ชนชั้นปกครอง’ ผู้กำหนดแนวทางบริหาร กับ ‘ฝ่ายกองทัพ’ ที่สามารถควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ช่างมีความสลับซับซ้อน ทั้งในแง่ของอำนาจ ผลประโยชน์
เพราะสุดท้าย ความเป็นจริงบริบท ‘การเมืองแบบไทยๆ’ นั้น ยังไม่อาจส่งผลให้ ‘รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเหนือกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด’ อย่างแท้จริงได้ในเร็ววัน!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
'อนุทิน' เปิดพรรครับ 'กลุ่มรักสถาบัน' ให้กำลังใจ ปกป้องอธิปไตยไทย
'อนุทิน' เปิดพรรค รับดอกไม้-หนังสือ 'กลุ่มศปปส.' ให้กำลังใจปกป้องอธิปไตย ลั่นไทยไม่มีแพ้ ขอมั่นใจพร้อมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทหาร
'ทหารผ่านศึก' รวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน 'รมว.กห.' ย้ำเงื่อนไขหยุดยิง
ทหารผ่านศึกรวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน ด้าน 'บิ๊กเล็ก' ส่งรองเสธ.ทหาร ร่วมถก รมว.กต.อาเซียน ย้ำไทยหยุดยิงหากกัมพูชาสิ้นปฏิปักษ์ชัดเจนเปิดเผยต่อเนื่อง เคืองนานาชาติไม่ประณามปมวางทุ่นระเบิด
'เลขาฯ กกต.' ส่งกำลังใจถึงเจ้าหน้าที่ จัด 3 งานใหญ่ ของขวัญให้คนไทย
'เลขาฯ กกต.' ส่งกำลังใจถึงเจ้าหน้าที่ จัด 3 งานใหญ่ เลือกตั้งสส.-อบต. พร้อมออกเสียงประชามติ มั่นใจออกมาดี รับมีความท้าทายในพื้นที่สู้รบ 7 จ.ชายแดน ปีใหม่นี้จากทุกปี มอบเป็นของขวัญให้คนไทย
เขมรยังไม่หยุด! บุกตีคืนบ้านสามหลัง ไทยยิงปืนใหญ่หนีกระเจิง
กัมพูชายังไม่หยุด นำกำลังตีคืนบ้านสามหลัง เจอ 'นย.ตราด' ระดมปืนใหญ่แตกกระเจิง ส่วนพื้นที่บ่อไร่-คลองใหญ่ ชาวบ้านกลับบ้านได้แล้ว หลังไร้เหตุปะทะนานกว่า 7 วัน
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

