เงาปริศนากลางควันปืน ก่อน7ชม.“นรกแตก”

ไล่ “ไทม์ไลน์” ก่อนจะเข้า “Red Zone ชิงการเข้าควบคุมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาของกำลังทหาร 2 ฝ่าย ช่วงก่อนหยุดยิงในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.2568 โดยไทยพยายามยึด-รักษาพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการ ตามแผนที่ 1:50,000 ทำให้เห็นภาพการ “ต่อรอง-เจรจา” ในช่วงสุดท้ายก่อนการหยุดยิงได้ชัดขึ้น

เริ่มจากวันที่ 27 ก.ค. เวลา 16.00 น. สำนักข่าวชื่อดังของมาเลเซีย เผยแพร่นัดหมายหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีนายกฯ มาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก จากนั้นกระทรวงการต่างประเทศยืนยันนัดหมายดังกล่าว ในวันที่ 28 ก.ค. เวลา 15.00 น.

ช่วงดึกวันนั้น พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้หารือกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อรับฟังถึงแนวทางและข้อเสนอเพื่อนำไปใช้คุยกับฝ่ายกัมพูชา ผ่าน “ภูมิธรรม เวชยชัย” ซึ่งจะมีเรื่องเงื่อนเวลาของการหยุดยิง การถอนกำลัง และจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ณัฐพล หลังจากนั้นชี้ชัดว่า มีข้อเสนอของเหล่าทัพในห้วงเวลาหยุดยิงควรเป็นช่วงเย็นวันที่ 18.00 น.

วันที่ 28 ก.ค. การหารือระหว่าง “ฮุน มาเนต” กับ “ภูมิธรรม เวชยชัย” โดยมี นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย มีการแถลงข่าวเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. บรรลุข้อตกลงในการหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขในเวลา 24.00 น. และให้ 2 ฝ่ายจัดการประชุมระดับทวิภาคีในระดับกองทัพภาคในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น และการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ในวันที่ 4 ส.ค.นี้

ท่ามกลางกระแสข่าว สทร.ยกหูคุยกับ "สมเด็จฮุน เซน" และ “แพทองธาร ชินวัตร” ได้เจรจากับ พล.ท.ฮุน มานี รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา จึงนำมาสู่วงเจรจาในวันนี้ที่ประเทศมาเลเซีย 

ปรากฏว่า นับแต่การแถลงข่าวเสร็จสิ้น สถานการณ์ชายแดนเริ่มตึงเครียดมากกว่าเดิม ในหลายจุดทหารฝ่ายไทยเข้าคุมพื้นที่เหนือเส้นปฏิบัติการ 1: 15000 ได้แล้ว แต่ฝั่งกัมพูชามีคำสั่งจากหน่วยเหนือให้เข้าตีเพื่อเข้าไปยึด รักษา พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ภูมะเขือ ช่องอานม้า โดยเฉพาะพื้นที่ “ปราสาทตาควาย” ถือเป็นพื้นที่ซึ่งกัมพูชาส่งกำลังพลเข้าตีได้ง่าย และมีความเป็นไปได้ที่จะยึดได้หนึ่งพื้นที่ก่อนหยุดยิง

ทำให้ 7 ชม.ในพื้นที่ดังกล่าว  เป็นเวลาที่แทบจะหยุดหายใจ “กองทัพบก” ส่งกำลังพลหน่วยรบพิเศษ และ ร.31 รอ.จาก จ.ลพบุรี เข้าสนับสนุนการรบ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาส่ง BHQ  ทหารหน่วยองครักษ์ “ฮุน เซน” 4 กองร้อยเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีการระดมสาดอาวุธเข้าหากัน ทั้งจรวด ปืนใหญ่ ยิงฐานปฏิบัติการของไทยเสียหาย

 ก่อนที่ กองทัพอากาศ” จะเปิดปฏิบัติการโจมตีชุดใหญ่อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเครื่องบิน F-16 และ Gripen ทิ้งระเบิดทำลายพื้นที่ทางทหาร และศูนย์อำนวยการรบ ตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุงในช่วง 5 ทุ่ม ใกล้เวลาขีดเส้นตายหยุดยิง  สามารถปิดปฏิบัติการและกลับฐานบิน

ทำให้ไทยสามารถยึดพื้นที่ซึ่งกัมพูชารุกล้ำเข้ามา และละเมิดเอ็มโอยู 43 ได้ทั้งหมด แม้จะมีความพยายามในการเข้าโจมตีเพื่อยึดพื้นที่คืนอีกครั้งในช่วงกลางดึก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทหารยังคงตรึงกำลังในพื้นที่สำคัญๆ ทั้งหมดได้อย่างเบ็ดเสร็จ และในตอนสายวันที่ 29 ก.ค.นี้ มีการประกาศปักธงชาติไทยได้ทั้งหมด เป็นการสถาปนาความมั่นคงในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

ส่งผลให้มีกำลังที่ต้องสูญเสียในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และ ช่องอานม้า ในคืนดังกล่าวรวม 4 ราย และมีทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

 นั่นทำให้เห็นว่า 7 ชม.คือห้วงเวลาที่กัมพูชาขอมานั้น เป็นการฉวยจังหวะในการเข้าโจมตีแบบม้วนเดียวจบ เพื่อขอเข้าพื้นที่ได้เพียง 1 ปราสาท เพื่อใช้ในการต่อรองระหว่างเจรจา แต่ก็ทำให้ไทยต้องถูกโจมตีอย่างหนัก ด้วยการปักหลักสู้รบของทหารไทยอย่างหนักหน่วง 

ท่ามกลางคำถามถึงบทบาทของ “ฝ่ายการเมือง” ในการต่อรองเรื่องการหยุดยิงว่า มีลับลมคมใน หรือเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่

เมื่อย้อนฟังจากคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ณัฐพล ทำให้เห็นว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเสนอเงื่อนไขเรื่องเวลามาก่อน โดย พล.อ.ณัฐพลระบุว่า เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ก่อนที่จะไปเจรจาได้มีการหารือกับ ผบ.เหล่าทัพว่า เวลาที่รับได้คือเท่าไหร่ ทาง ผบ.เหล่าทัพสรุปเป็นเวลา 18.00 น. แต่ทางกัมพูชาขอเป็นเที่ยงคืน ซึ่งตนได้หารือกับ ผบ.เหล่าทัพอีกครั้ง พอจะรับเงื่อนไขได้ เพียงแต่ห่วงใย เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืน

ทุกท่านบอกว่าหนักใจ เนื่องจากกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังมามาก อยากให้ประชาชนเข้าใจ ผมทำทุกอย่างร่วมกับกองทัพ ซึ่งไม่ได้ทำคนเดียว รวมถึงพูดคุยกับรัฐบาล ยืนยันว่าก่อนเจรจาหยุดยิง ผมมีเงื่อนไขว่า หยุดยิงแล้วจะทำอะไรต่อไป จึงเป็นที่มาขอทาง 7 ข้อที่ทางกระทรวงการต่างประเทศแถลง และในที่ประชุมก็ยอมรับ โดยมีมาเลเซีย สหรัฐอเมริกาและจีนเป็นพยานพล.อ.ณัฐพลระบุ

พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่าการหยุดยิง ไม่ใช่ว่าสั่งหยุดเมื่อคืนนี้แล้วทั้ง 2 ฝ่ายจะมาเล่นตะกร้อ นั่งกินข้าวด้วยกัน ยืนยันต้องมีการคุยกันต่อไป ใน 7 ข้อนั้นอาจจะจบเดือนหน้าหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่การหยุดยิงทำให้ลดความสูญเสียของประชาชน เพราะปัจจุบันประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 48 ราย ทหารเสียชีวิต 15 ราย บาดเจ็บ 160 ราย หนึ่งในนั้นมีพิการขาขาด 4 ราย ซึ่งเป็นกำลังหลักของครอบครัว ยืนยันตนต้องคิดทุกอย่าง แต่ในระดับของ ผบ.เหล่าทัพจะมาคิดแบบตนไม่ได้ อยากให้สังคมเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าระหว่างนี้ ผลการหารือแบบทวิภาคีจะส่งผลให้ 7 ข้อที่ได้ตกลงไว้ ได้แก่ ห้ามยิงต่อประชาชน หยุดเพิ่มเติมกำลัง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง อำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต จัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน และรอหารืออีกครั้งตามผลการประชุม GBC ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพ จะเกิดผลในทางปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน

ที่สำคัญจะมีการหยุดยิงอย่างถาวร ด้วยการที่กัมพูชาถอนกำลังกลับที่ตั้งไปเหมือนเดิมหรือไม่!!!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม

วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)