‘สื่อสาร’รัฐภาพลักษณ์ติดลบ ถึงเวลาปรับกลยุทธ์รุกสู้เขมร

ถึงเวลารัฐบาลต้องปรับการสื่อสารครั้งใหญ่ หลังเกิดสถานการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก แม้ไทยจะมีแสนยานุภาพทางด้านกองทัพเหนือกว่ากัมพูชา แต่ในแง่ สงครามข่าวสาร การชิงพื้นที่สื่อสารในสายตาโลก และแม้แต่ในสายตาคนไทยกันเอง ไทยยังถูกมองติดลบ เดินตามหลังกัมพูชาอยู่ตลอด

ตั้งแต่ก้าวแรกในเวทีเจรจายุติความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี บินร่วมเจรจาที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีประเทศมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นสักขีพยาน ก็ถูกวิจารณ์ถึงการเจรจาที่แม้จะได้ข้อยุติหยุดยิงในเวลา 24.00 น. แต่ฝ่ายไทยกลับไม่มีความชัดเจนเรื่องการเสนอเงื่อนไขในเวทีดังกล่าว แถมถูกวิจารณ์หรือเพราะโดนบีบเรื่องภาษี “ทรัมป์” ด้วยหรือไม่

และหลังได้ข้อยุติหยุดยิง แต่ปัจจุบันกัมพูชายังมีการละเมิด มีการยิงด้วยอาวุธเข้ามาบริเวณชายแดน แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเสนอข่าวสารว่าไทยเป็นฝ่ายยิงก่อนตลอด รวมถึงล่าสุดที่กัมพูชารุกชิงพื้นที่ฟ้องโลกก่อนไทยอีกครั้ง ด้วยการเชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ทั้งจากประเทศมหาอำนาจและประเทศอาเซียน พร้อมด้วยนักการทูตจาก 13 ประเทศ ลงพื้นที่ตรวจสอบว่ากัมพูชาได้ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ส่วนไทยเพิ่งเชิญทูตและขนสื่อลงวันที่ 1 สิงหาคม

หรือแม้กระทั่งการประชุมระดับสูงของสหภาพรัฐสภา ณ นครเจนีวา ที่ประเทศไทยถูกกล่าวหาจากประธานสภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะชายแดนไปแล้ว แต่ฝ่ายไทยก็ตามหลังแก้ข่าว โดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานหน่วยประจำชาติไทยในสหภาพรัฐสภา (IPU) ที่มายืนแถลงข่าวเสียใจและผิดหวังที่ประเทศไทยถูกกล่าวหาจากประธานสภาฯ กัมพูชาโดยปราศจากมูลความจริง

ขณะที่ปัจจุบันกัมพูชายังเสนอข่าวรายวันกล่าวหาไทยละเมิดข้อตกลงต่างๆ แต่การสื่อสารของรัฐบาลไทยในการตอบโต้หรือรุกขึ้นมาชิงพื้นที่ก่อน ยังถูกมองว่าเดินช้าเกินไปมาก

ทั้งนี้ ปัจจุบันการแถลงข่าวของไทยหลักๆ จะมีในส่วนของกองทัพ โดยโฆษกกองทัพบก ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ แถลงโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ในส่วนของศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงโดยโฆษก ศบ.ทก. ร่วมกับรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ และในส่วนของทำเนียบรัฐบาล มีทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แถลงและตอบโต้ในประเด็นต่างๆ

หลังเสียงวิจารณ์เรื่องการสื่อสาร ทั้งการสื่อสารกับพี่น้องประชาชนที่มีเสียงสะท้อนว่าไม่ได้รับรู้ถึงข่าวสารทางการจากรัฐบาลเท่าที่ควร ขณะเดียวกันไทยยังถูกโจมตีด้วยสงครามข่าวสารบิดเบือนจากกัมพูชา ซึ่งไทยมักเป็นฝ่ายตั้งรับคอยแก้ข่าว ตอบโต้ข่าวสารที่กัมพูชากล่าวหา มากกว่ารุกนำหน้า และการสื่อสารกับต่างชาติของไทยยังน้อยเกินไปมาก

ล่าสุดการแถลงข่าว ศบ.ทก. ได้มีการปรับรูปแบบการแถลงข่าวให้ดูเป็นทางการมากขึ้น โดยได้ย้ายสถานที่แถลงข่าวจากนั่งแถลงที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล มายืนโพเดี้ยมแถลงข่าวแบบทางการที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบฯ โดยใช้ห้องตึกสันติไมตรีหลังใน ที่เป็นห้องแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีและระดับผู้นำจากต่างประเทศที่เดินทางเยือนไทย

 พร้อมกันนี้ ศบ.ทก.ได้เปลี่ยนม็อตโตฉากหลัง จากเดิม "รอบคอบ รอบด้าน ใช้สติ อย่างสันติ" เป็น "รวมใจไทยเป็นหนึ่ง" และในการแถลงข่าวที่ปกติจะแถลงเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เตรียมจะเพิ่มการแถลงเป็นภาษาจีนอีก 1 ภาษา ตามแนวคิดของ ผอ.ศบ.ทก. 

ขณะที่ในส่วนของทีมโฆษกรัฐบาล 3 คน นำโดย นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากค่ายเพื่อไทย ..ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกฯ จากค่ายรวมไทยสร้างชาติ และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกฯ จากค่ายกล้าธรรม ล่าสุดได้เร่งปรับการสื่อสารมากขึ้น โดยโฆษกรัฐบาลเพิ่มการนำเสนอข่าวตอบโต้ข้อมูลบิดเบือนที่กัมพูชาใส่ร้ายไทยในประเด็นต่างๆ แทบรายชั่วโมง รวมถึงมีข่าวแจ้งเตือนประชาชนต่อเนื่อง

ขณะที่มีรายงานว่า ในทีมโฆษกรัฐบาลกันเองได้มีการเสนอแนวคิดให้มี 1 คน แถลงข่าวเป็นภาษาอังกฤษ รวมถึงรับหน้าที่สื่อสารกับสื่อต่างชาติอีกช่องทาง แต่ปรากฏว่าแนวคิดดังกล่าวเหมือนจะยังไม่ได้รับการอนุมัติในตอนนี้

ส่วนล่าสุดที่รัฐบาลดึง นายจักรภพ เพ็ญแข นั่งที่ปรึกษาของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เจ้าตัววาดฝันจะช่วยงานด้านการสื่อสารกับต่างชาติ ตอนนี้ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวที่เป็นผลบวกกับรัฐบาลแต่อย่างใด 

รวมถึงกรมประชาสัมพันธ์สื่อของรัฐบาล มี จิราพร สินธุไพรรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแล ที่ประกาศโละผังรายการเพื่อเกาะติดสถานการณ์ชายแดนในช่วงแรก ควรจะเป็นอีกช่องทางสื่อสารถึงประชาชนและนานาประเทศเพิ่มมากขึ้น

ในช่วงสถานการณ์คอขาดบาดตายเช่นนี้ นอกจากแสนยานุภาพของกองทัพแล้ว อีกสิ่งสำคัญคือเรื่องการสื่อสาร ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ฉับไว และยังถือเป็นการชิงความได้เปรียบในทุกด้าน 

แต่ทว่าเมื่อฟังเสียงสะท้อนแล้ว การสื่อสารของรัฐบาลในห้วงเวลานี้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าสอบตกและติดลบ ถึงเวลาปรับกลยุทธ์ด่วนที่สุด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนและในสายตาชาวโลก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม

วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)