โอกาสสุดท้าย‘อิ๊งค์’ชิงตัดจบ? ห้วงเวลาสำคัญก่อน29ส.ค.

รอดแล้ว 1 ชนักสำหรับ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องในคดีดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 กรณีเมื่อ พ.ศ.2558 นายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ พาดพิงดูหมิ่นสถาบัน

"ทักษิณ" รอดเพราะ "พยานหลักฐานไม่เพียงพอ"

ถือว่าเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้ เพราะเมื่อดูจากการเคลื่อนไหวและท่าทีของอดีตนายกฯ รายนี้ต่อคดีดังกล่าว ดูจะไม่เป็นวิตกกังวลเท่าไหร่

อีกทั้งหากโอกาสถูกพิพากษาจำคุกมีสูง "ทักษิณ" คงไม่ได้อยู่นิ่งแบบนี้ แต่ต้องดิ้นมากกว่านี้ เฉกเช่นพฤติกรรมในอดีต ​อย่างไรก็ดี "ทักษิณ" ยังหายใจไม่ทั่วท้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังเหลืออีก 1 ชนักติดหลัง นั่นคือ คดีกรมราชทัณฑ์ส่งไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ หรือที่คนรู้จักกันในคดีป่วยทิพย์

คดีนี้สังคมและตัว "ทักษิณ" เองน่าจะโฟกัสมากกว่าคดีแรก 

คดีนี้เป็นที่คลางแคลงใจของสังคม โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน โดยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลเรียกพยานไปไต่สวนถึง 31 ปาก

ซึ่งอีกไม่ถึง 1 เดือน สังคมน่าจะได้คำตอบและความกระจ่างในคดีนี้ ว่าสุดท้ายความจริงเป็นอย่างไร และหากป่วยทิพย์จริง ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

โดยศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และ "ทักษิณ" มาฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น.

คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แม้สุดท้ายบางคนบอกว่าอาจจะเอาผิดได้เพียงเจ้าหน้าที่ในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และการปฏิบัติตามคำสั่งศาล หรือข้าราชการรับโทษแทน แต่หากมันพิสูจน์ได้ว่า "ทักษิณ" ป่วยทิพย์ มันจะมีผลทางการเมืองต่อทั้ง "ทักษิณ" และ "พรรคเพื่อไทย" เป็นอย่างมาก 

ส่วนประเด็นว่า หากป่วยทิพย์จริง "ทักษิณ" ต้องกลับไปติดคุกใหม่หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันทางกฎหมายหลังจากวันที่ 9 กันยายนไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางพอสมควร

และอีกคดีที่น่าห่วงกว่าคือ คดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง "อิ๊งค์" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม กับ "ฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลได้มีการไต่สวนบุคคล 2 ปากสุดท้ายไปแล้วเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้แก่ ตัว "แพทองธาร" เอง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ​ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดให้คู่กรณี คือ "แพทองธาร" ผู้ถูกร้อง กับ "ผู้ร้อง" สมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ยื่นคำแถลงปิดคดีเสนอต่อศาลภายในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ซึ่งเลื่อนเร็วจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 สิงหาคม และศาลรัฐธรรมนูญได้นัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้ 

อิ๊งค์’ จะได้ไปต่อ หรือสิ้นสุดเส้นทางการเมือง ศุกร์หน้ารู้พร้อมกันทั่วประเทศ

แต่สิ่งที่ต้องจับตาก่อนจะถึงวันชี้ชะตานายกฯ คนที่ 31 ของประเทศคือ เส้นทางระหว่างถึงวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง เพราะมันมีข่าวลือเกี่ยวกับทิศทางผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมามากมายตลอดช่วงที่ผ่านมา

โดยเฉพาะทฤษฎีการใช้ แท็กติกทางกฎหมาย ชิงลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป่าคดี โดยมีการหยิบยกคดีที่นายนิพนธ์ บุญญามณี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีที่ถูกยื่นให้วินิจฉัยคุณสมบัติคดีละเว้นไม่เบิกจ่ายเงินค่าซ่อมบำรุงรถอเนกประสงค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยไม่กี่วัน

นายนิพนธ์ให้เหตุผลว่า ลาออกเพื่อไปต่อสู้คดี แต่ในทางการเมืองมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการใช้แท็กติกทางกฎหมาย เพราะหลังจากนายนิพนธ์ลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทยแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้จำหน่ายคดีดังกล่าวออกไปโดยไม่มีคำวินิจฉัย 

ซึ่งก่อนที่นายนิพนธ์จะลาออก มีการคาดการณ์กันอย่างแพร่หลายว่า ทิศทางคำวินิจฉัยไม่น่าจะเป็นบวกกับตัวเขา ที่สุดจึงตัดสินใจเช่นนั้น 

โมเดลดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในกรณีของ "แพทองธาร" อีกครั้งว่าจะตัดสินใจ ตัดจบ ด้วยวิธีนี้หรือไม่ โดยนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศไทยมีเวลาตัดสินใจถึงวันที่ 28 สิงหาคม ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยออกมา 

สาเหตุที่มีการพูดถึงทฤษฎีนี้กันนั้น สืบเนื่องมาจากกรณีศึกษาของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ คนก่อน ที่นอกจากไม่รอด ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ผู้นำแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตเจ้าตัวหลังกลับไปเป็นสามัญชนทั่วไปด้วย

คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อ "เศรษฐา" แค่ในแง่การเมือง แต่ยังทำให้นายกฯ คนที่ 30 ของประเทศ ไม่กล้าไปนั่งเป็นผู้บริหารในบริษัทเอกชนต่างๆ เพราะกลัวว่ามลทินที่ติดตัวมาจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร

​ฉะนั้น หากลุยวัดใจกับศาลรัฐธรรมนูญ มันจะคุ้มกันหรือไม่ 

มันมีตัวแปรสำคัญในประเด็นลาออกจากตำแหน่งก่อนศาลมีคำวินิจฉัย คือ ทางฝั่ง "แพทองธาร" รวมถึงผู้เป็นพ่อและเป็นแม่ ต้องได้รับสัญญาณชัดๆ มาแล้วว่า ไม่รอด จึงเลือกวิธีนี้ 

ต่อให้โอกาสรอดอยู่ที่ 50/50 ก็ไม่เพียงพอที่จะเสี่ยง 

ถือว่าน่าสนใจ ในอดีตที่ผ่านมานายกฯ ที่มาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ไม่เคยมีใครตัดสินใจลาออก เต็มที่มีแค่ยุบสภา คือในยุคของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่จวนตัวจากม็อบ แต่ก็เลือกกดปุ่มยุบสภาแทน  

"ทักษิณ" จะยึดแนวทางเดิมหรือไม่ ที่ยอมเดินไปจนถึงทางตัน ซึ่งที่ผ่านมาผลลัพธ์ไม่เคยเป็นบวกกับตัว ครอบครัว และคนในองคาพยพเลย หรือจะเลือกถอดบทเรียนที่บาดเจ็บซ้ำๆ ด้วยการเซฟความปลอดภัยลูกสาว

อีกจุดที่ต้องจับตาดูว่ามีเค้าลางในทฤษฎีดังกล่าวหรือไม่ คือการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งนายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ออกมาให้ข้อสังเกตว่าจะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงล็อตใหญ่ให้สะเด็ดน้ำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการวางขุมกำลังกรณีเกิดอุบัติเหตุกับนายกฯ และรัฐบาลหรือไม่ 

อย่างไรก็ดี กรณี "แพทองธาร" ตัดสินใจมุ่งหน้าไปวันที่ 29 สิงหาคม ก็อ่านใจได้ 2 ประเด็นคือ วัดใจ กับได้สัญญาณพิเศษอะไรมาหรือไม่ว่า รอด ถึงกล้าเสี่ยง ทั้งที่สังคมโดยรวมมองว่ารอดยาก เพราะแทบนึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่จะได้ไปต่อ ในเมื่อพยานหลักฐานชัดเจนขนาดนี้

หรือต่อให้รอดจริง รัฐบาลจะทำงานอย่างไร เพราะความไว้วางใจต่อตัวผู้นำมันไม่มีเหลือแล้ว หลายคนมองว่า ชื่อของ "แพทองธาร ชินวัตร" กลายเป็นซากทางการเมืองเรียบร้อยแล้วนับตั้งแต่วันที่คลิปเสียงสนทนาหลุดออกมา 

ประชาชนไม่ไว้วางใจให้รัฐบาลชุดนี้ทำงานต่อ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ไว้วางใจกองทัพในการปกป้องอธิปไตยมากกว่า 

เสถียรภาพรัฐบาลเองก็ง่อนแง่น การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้งที่ผ่านมาร่อแร่เต็มที ประธานในที่ประชุมจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู รองประธานสภาฯ คนที่ 1 หรือนายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ต้องชิงประชุมสภาหนีตลอด เพื่อไม่ให้สภาล่ม 

ผลงานใดๆ ของรัฐบาลไม่มีผลิดอกออกผล หากได้ไปต่อ เวลาที่เหลือก็ถูกตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า มีเพื่อตักตวง กอบโกย เพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตัวเองในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น

การบริหารจากนี้จะมีแต่เรื่องของการใช้งบประมาณเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนโต หรืองบประมาณในปี 2569 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่รวมถึงกรณี "แพทองธาร" เลือกวัดใจไปวันที่ 29 สิงหาคม แล้วผลออกมาเป็นลบต่อตัวเอง ซึ่งตอนนั้นน่าจะมีความชุลมุนทางการเมืองพอสมควร มีโอกาสที่สมการทางการเมืองจะเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน

คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า

ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม

ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

'มทภ.4' ระดม 400 นาย เร่งฟื้นฟู 'รพ.หาดใหญ่' ให้เสร็จวันนี้

'มทภ.4' กำชับทุกหน่วย-ทส. ระดมกำลังกว่า 400 นาย เร่งฟื้นฟูโรงพยาบาลหาดใหญ่ ปรับสภาพผิวจราจรโดยรอบให้เสร็จวันนี้ พร้อมลุยต่อถนนเส้นหลัก เปิดการจราจรให้ประชาชน ก่อนบิ๊กคลีนนิ่งเมืองทั้งหมด