
รอดแล้ว 1 ชนักสำหรับ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้องในคดีดูหมิ่นสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 กรณีเมื่อ พ.ศ.2558 นายทักษิณได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ พาดพิงดูหมิ่นสถาบัน
"ทักษิณ" รอดเพราะ "พยานหลักฐานไม่เพียงพอ"
ถือว่าเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์กันไว้ เพราะเมื่อดูจากการเคลื่อนไหวและท่าทีของอดีตนายกฯ รายนี้ต่อคดีดังกล่าว ดูจะไม่เป็นวิตกกังวลเท่าไหร่
อีกทั้งหากโอกาสถูกพิพากษาจำคุกมีสูง "ทักษิณ" คงไม่ได้อยู่นิ่งแบบนี้ แต่ต้องดิ้นมากกว่านี้ เฉกเช่นพฤติกรรมในอดีต อย่างไรก็ดี "ทักษิณ" ยังหายใจไม่ทั่วท้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังเหลืออีก 1 ชนักติดหลัง นั่นคือ คดีกรมราชทัณฑ์ส่งไปรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ หรือที่คนรู้จักกันในคดีป่วยทิพย์
คดีนี้สังคมและตัว "ทักษิณ" เองน่าจะโฟกัสมากกว่าคดีแรก
คดีนี้เป็นที่คลางแคลงใจของสังคม โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน โดยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลเรียกพยานไปไต่สวนถึง 31 ปาก
ซึ่งอีกไม่ถึง 1 เดือน สังคมน่าจะได้คำตอบและความกระจ่างในคดีนี้ ว่าสุดท้ายความจริงเป็นอย่างไร และหากป่วยทิพย์จริง ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
โดยศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และ "ทักษิณ" มาฟังคำสั่งศาลในวันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น.
คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แม้สุดท้ายบางคนบอกว่าอาจจะเอาผิดได้เพียงเจ้าหน้าที่ในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และการปฏิบัติตามคำสั่งศาล หรือข้าราชการรับโทษแทน แต่หากมันพิสูจน์ได้ว่า "ทักษิณ" ป่วยทิพย์ มันจะมีผลทางการเมืองต่อทั้ง "ทักษิณ" และ "พรรคเพื่อไทย" เป็นอย่างมาก
ส่วนประเด็นว่า หากป่วยทิพย์จริง "ทักษิณ" ต้องกลับไปติดคุกใหม่หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกันทางกฎหมายหลังจากวันที่ 9 กันยายนไปแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางพอสมควร
และอีกคดีที่น่าห่วงกว่าคือ คดีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง "อิ๊งค์" น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม กับ "ฮุน เซน" ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลได้มีการไต่สวนบุคคล 2 ปากสุดท้ายไปแล้วเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้แก่ ตัว "แพทองธาร" เอง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดให้คู่กรณี คือ "แพทองธาร" ผู้ถูกร้อง กับ "ผู้ร้อง" สมาชิกวุฒิสภาบางส่วน ยื่นคำแถลงปิดคดีเสนอต่อศาลภายในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ซึ่งเลื่อนเร็วจากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 27 สิงหาคม และศาลรัฐธรรมนูญได้นัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคมนี้
อิ๊งค์’ จะได้ไปต่อ หรือสิ้นสุดเส้นทางการเมือง ศุกร์หน้ารู้พร้อมกันทั่วประเทศ
แต่สิ่งที่ต้องจับตาก่อนจะถึงวันชี้ชะตานายกฯ คนที่ 31 ของประเทศคือ เส้นทางระหว่างถึงวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง เพราะมันมีข่าวลือเกี่ยวกับทิศทางผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมามากมายตลอดช่วงที่ผ่านมา
โดยเฉพาะทฤษฎีการใช้ แท็กติกทางกฎหมาย ชิงลาออกจากตำแหน่งเพื่อเป่าคดี โดยมีการหยิบยกคดีที่นายนิพนธ์ บุญญามณี ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรณีที่ถูกยื่นให้วินิจฉัยคุณสมบัติคดีละเว้นไม่เบิกจ่ายเงินค่าซ่อมบำรุงรถอเนกประสงค์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สงขลา ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยไม่กี่วัน
นายนิพนธ์ให้เหตุผลว่า ลาออกเพื่อไปต่อสู้คดี แต่ในทางการเมืองมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการใช้แท็กติกทางกฎหมาย เพราะหลังจากนายนิพนธ์ลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทยแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้จำหน่ายคดีดังกล่าวออกไปโดยไม่มีคำวินิจฉัย
ซึ่งก่อนที่นายนิพนธ์จะลาออก มีการคาดการณ์กันอย่างแพร่หลายว่า ทิศทางคำวินิจฉัยไม่น่าจะเป็นบวกกับตัวเขา ที่สุดจึงตัดสินใจเช่นนั้น
โมเดลดังกล่าวถูกหยิบยกขึ้นมาพูดในกรณีของ "แพทองธาร" อีกครั้งว่าจะตัดสินใจ ตัดจบ ด้วยวิธีนี้หรือไม่ โดยนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของประเทศไทยมีเวลาตัดสินใจถึงวันที่ 28 สิงหาคม ก่อนที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยออกมา
สาเหตุที่มีการพูดถึงทฤษฎีนี้กันนั้น สืบเนื่องมาจากกรณีศึกษาของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ คนก่อน ที่นอกจากไม่รอด ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ผู้นำแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตเจ้าตัวหลังกลับไปเป็นสามัญชนทั่วไปด้วย
คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อ "เศรษฐา" แค่ในแง่การเมือง แต่ยังทำให้นายกฯ คนที่ 30 ของประเทศ ไม่กล้าไปนั่งเป็นผู้บริหารในบริษัทเอกชนต่างๆ เพราะกลัวว่ามลทินที่ติดตัวมาจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือขององค์กร
ฉะนั้น หากลุยวัดใจกับศาลรัฐธรรมนูญ มันจะคุ้มกันหรือไม่
มันมีตัวแปรสำคัญในประเด็นลาออกจากตำแหน่งก่อนศาลมีคำวินิจฉัย คือ ทางฝั่ง "แพทองธาร" รวมถึงผู้เป็นพ่อและเป็นแม่ ต้องได้รับสัญญาณชัดๆ มาแล้วว่า ไม่รอด จึงเลือกวิธีนี้
ต่อให้โอกาสรอดอยู่ที่ 50/50 ก็ไม่เพียงพอที่จะเสี่ยง
ถือว่าน่าสนใจ ในอดีตที่ผ่านมานายกฯ ที่มาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ไม่เคยมีใครตัดสินใจลาออก เต็มที่มีแค่ยุบสภา คือในยุคของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่จวนตัวจากม็อบ แต่ก็เลือกกดปุ่มยุบสภาแทน
"ทักษิณ" จะยึดแนวทางเดิมหรือไม่ ที่ยอมเดินไปจนถึงทางตัน ซึ่งที่ผ่านมาผลลัพธ์ไม่เคยเป็นบวกกับตัว ครอบครัว และคนในองคาพยพเลย หรือจะเลือกถอดบทเรียนที่บาดเจ็บซ้ำๆ ด้วยการเซฟความปลอดภัยลูกสาว
อีกจุดที่ต้องจับตาดูว่ามีเค้าลางในทฤษฎีดังกล่าวหรือไม่ คือการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งนายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ออกมาให้ข้อสังเกตว่าจะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงล็อตใหญ่ให้สะเด็ดน้ำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการวางขุมกำลังกรณีเกิดอุบัติเหตุกับนายกฯ และรัฐบาลหรือไม่
อย่างไรก็ดี กรณี "แพทองธาร" ตัดสินใจมุ่งหน้าไปวันที่ 29 สิงหาคม ก็อ่านใจได้ 2 ประเด็นคือ วัดใจ กับได้สัญญาณพิเศษอะไรมาหรือไม่ว่า รอด ถึงกล้าเสี่ยง ทั้งที่สังคมโดยรวมมองว่ารอดยาก เพราะแทบนึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรที่จะได้ไปต่อ ในเมื่อพยานหลักฐานชัดเจนขนาดนี้
หรือต่อให้รอดจริง รัฐบาลจะทำงานอย่างไร เพราะความไว้วางใจต่อตัวผู้นำมันไม่มีเหลือแล้ว หลายคนมองว่า ชื่อของ "แพทองธาร ชินวัตร" กลายเป็นซากทางการเมืองเรียบร้อยแล้วนับตั้งแต่วันที่คลิปเสียงสนทนาหลุดออกมา
ประชาชนไม่ไว้วางใจให้รัฐบาลชุดนี้ทำงานต่อ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ไว้วางใจกองทัพในการปกป้องอธิปไตยมากกว่า
เสถียรภาพรัฐบาลเองก็ง่อนแง่น การประชุมสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้งที่ผ่านมาร่อแร่เต็มที ประธานในที่ประชุมจากพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู รองประธานสภาฯ คนที่ 1 หรือนายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ต้องชิงประชุมสภาหนีตลอด เพื่อไม่ให้สภาล่ม
ผลงานใดๆ ของรัฐบาลไม่มีผลิดอกออกผล หากได้ไปต่อ เวลาที่เหลือก็ถูกตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า มีเพื่อตักตวง กอบโกย เพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตัวเองในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไปเท่านั้น
การบริหารจากนี้จะมีแต่เรื่องของการใช้งบประมาณเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนโต หรืองบประมาณในปี 2569
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่รวมถึงกรณี "แพทองธาร" เลือกวัดใจไปวันที่ 29 สิงหาคม แล้วผลออกมาเป็นลบต่อตัวเอง ซึ่งตอนนั้นน่าจะมีความชุลมุนทางการเมืองพอสมควร มีโอกาสที่สมการทางการเมืองจะเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน
คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า
ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม
ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
'มทภ.4' ระดม 400 นาย เร่งฟื้นฟู 'รพ.หาดใหญ่' ให้เสร็จวันนี้
'มทภ.4' กำชับทุกหน่วย-ทส. ระดมกำลังกว่า 400 นาย เร่งฟื้นฟูโรงพยาบาลหาดใหญ่ ปรับสภาพผิวจราจรโดยรอบให้เสร็จวันนี้ พร้อมลุยต่อถนนเส้นหลัก เปิดการจราจรให้ประชาชน ก่อนบิ๊กคลีนนิ่งเมืองทั้งหมด


