ปมร้อน'เอ็มโอยู-บ้านหนองจาน' บทพิสูจน์'รัฐบาล'เพื่ออธิปไตย

“แม้ในข้อเท็จจริง นานาชาติไม่สามารถชี้นำเราได้ แต่ก็มีอิทธิพลในการกดดันทางอื่น และเมื่อเกมพลิกไปสู่โหมดการเมืองที่มีเรื่องคะแนนนิยมเป็นเดิมพัน กองทัพก็จำเป็นต้องรอจังหวะเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อไป"

ในจังหวะที่อนุรักษนิยมกลายเป็นกระแสหลักของโลก รวมถึงประเทศไทยในขณะนี้ ทำให้ข้อหา ขายชาติ-ขายแผ่นดิน กลายเป็นอาวุธทิ่มแทงนักการเมืองได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ ตรงกันข้ามกับฝ่ายการเมืองที่เชิดชูค่านิยมรักชาติ-รักสถาบัน ต่างได้รับความนิยมและกลายเป็นจุดขายของยุคสมัย

จุดเปลี่ยนประเทศไทยคือ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกองทัพแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่กัมพูชาหวังใช้สถานการณ์สู้รบนี้ไปสร้างคะแนนนิยมให้กับผู้นำรุ่นลูก รวมไปถึงผลพวงจากปัญหาส่วนตัวของสองตระกูล นำไปสู่การแก้ไขปัญหาการรุกล้ำเขตแดนที่ถูกแขวนไว้

ในช่วงที่พรรคภูมิใจไทยถูกริบอำนาจ ตัดกำลังทางการเมือง จากเกมรุกฆาตในหลายคดี “แพทองธาร ชินวัตร” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมไปถึงความเคลือบแคลงสงสัยต่อผลประโยชน์ทับซ้อน ยิ่งเมื่อเจอมรสุมคลิปเสียง “อังเคิล” ข้อครหาเรื่องไม่ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งก็ถูกขยายผลอย่างรวดเร็ว

และเป็นช่วงที่พรรคภูมิใจไทยโยนประเด็นการยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 ออกมาผนึกกับพันธมิตรมวลชนรักชาติ ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับอย่างหนาแน่น มีการเสนอญัตติทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่เมื่อ “แพทองธาร” ต้องพ้นจากตำแหน่ง มีการฟอร์มรัฐบาลจากการรวมเสียงระหว่าง น้ำเงิน-ส้ม สำเร็จ ผลสรุปก็คือ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาข้อดี-ข้อเสียเป็นทางลง

ส่วนหนึ่งเกิดจากความเห็นของหลายฝ่ายที่มีความแตกต่างกัน และเมื่อลงรายละเอียดแล้ว กรอบของเอ็มโอยูมีทั้งข้อดี-ข้อเสีย การตัดสินใจยกเลิกหรือคงไว้เพื่อแก้ไขล้วนมีผลต่อฐานมวลชน คะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยิ่งทิศทางของกองทัพที่ดูเหมือนจะห่วงเรื่องความต่อเนื่องในการกระบวนการสำรวจเขตแดนเพื่อจัดทำแผนที่ ซึ่งการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมพอสมควร ทั้งการรับรอง 43 หลักเขต การใช้เทคโนโลยี Lidar ในการหาสันปันน้ำ ซึ่งกัมพูชาปฏิเสธมาตลอด ทั้งที่ตัวเองเคยใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศตัวเองมาแล้ว ปมประเด็นเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลไทยต้องลดระดับความแข็งกร้าวลงไป

อีกทั้งการส่งให้ ครม. ฟันธง รัฐบาลก็จะถูกล่อเป้า สุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นตำบลกระสุนตกถ้าไม่ถูกใจอีกฝ่าย

เพราะ “เอ็มโอยู” เป็นเรื่องที่ผูกโยงกับเขตแดน-อธิปไตยของชาติ มีความอ่อนไหวในความรู้สึกคนไทยสูง การหาทางออกด้วยการลงประชามติ ไม่ต้องคลุกวงในด้วยตัวเอง ก็จะปลอดภัยจากข้อหาขายชาติที่พร้อมจะหลุดจากฝ่ายตรงข้ามได้ทุกเมื่อ

ขณะที่สถานการณ์ชายแดนฝั่งอีสานใต้ หลังสมรภูมิ 5 วัน กำลังทหารสองฝ่ายยังตั้งแนวยุทโธปกรณ์หนักเผชิญหน้ากัน แม้จะใช้กลไกทวิภาคีทั้ง อาร์บีซี-จีบีซี หารือเพื่อหวังลดความตึงเครียด แต่กัมพูชาไม่ตอบสนอง ยังคงเดินสายเข้าหามหาอำนาจและประเทศที่สาม ซึ่งมีธุรกิจหรือผลประโยชน์ในกัมพูชา สร้างแนวร่วมในการต่อตีกับไทยในเวทีนานาชาติ เพราะเกมในสนามรบเพลี่ยงพล้ำ-สูญเสียไปจำนวนมาก

หลังพันธสัญญาหยุดยิงที่มีขึ้น เสียงปืนนัดสุดท้ายเที่ยงคืนวันที่ 28 ก.ค. สถานการณ์ยังอยู่ในขั้น “ทรงๆ” ต่างฝ่ายต่างดูท่าทีกันไปมา แต่แนวรุกของข้อมูลข่าวสารเหวี่ยงไปที่ชายแดนด้านตะวันออกใน จ.สระแก้ว ไล่ตั้งแต่ หนองจาน หนองหญ้าแก้ว ตาพระยา เพราะกัมพูชาตั้งชุมชนรุกล้ำเหนือเส้นแดง ซึ่งเกินกว่าที่กัมพูชาอ้างสิทธิด้วยซ้ำ จึงเป็นสิทธิชอบธรรมที่กองทัพต้องผลักดันออกไป

เป็นเรื่องค้างเก่าที่หมักหมมในพื้นที่อย่างยาวนาน เกี่ยวพันกับระบบอุปถัมภ์ ผลประโยชน์ชายแดน กระทบถึง “แม่ทัพ-นายกอง” ในปัจจุบัน ยิ่งเมื่อโซเชียลมีเดียกระหน่ำซ้ำซัด เปิดโปงเครือข่ายสีเขียวที่เคยมีอำนาจทางการเมืองในอดีต ปล่อยให้ปัญหาค้างคาในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 ผูกปมเข้ากับเรื่องเดิมที่มีคนไทยซึ่งเป็นเครือข่ายของกลุ่มที่ต่อสู้เรื่องอธิปไตยไทยถูกจับตัวไปขังคุกกัมพูชา เพราะไปพิสูจน์เขตแดนในเขตพื้นที่บ้านหนองจานในอดีต ก็ยิ่งทำให้แนวรบฝั่งนี้ร้อนฉ่า

การเข้ามาบริหารประเทศของพรรคภูมิใจไทยได้ประกาศชัดว่า ให้อำนาจกองทัพในการตัดสินใจต่อสถานการณ์ชายแดนได้ทันที พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่เข้าไปชี้นำ ก้าวก่าย แทรกแซง สิ้นคำกล่าวของผู้นำรักชาติ กลุ่มที่เชียร์กองทัพ จากกระแส “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ปูทางไว้ ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ 

แต่เมื่อปัจจัยเอื้ออันเกิดจากฝีมือของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” ในการกล่าวปาฐกถาในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ UNGA ตอบโต้กัมพูชาที่งัดเรื่องชายแดนโจมตีไทยในเวทีนานาชาติ เรียกเสียงปรบมือจากวงประชุมวันนั้น และคนไทยในประเทศที่ติดตามสถานการณ์อยู่

สร้างคะแนนให้กับรัฐบาลด้วยความสามารถของ รมต.คนนอก 1 ใน 9 ที่เลือกเข้ามาทำหน้าที่ได้ตรงจุด ตรงเวลา ตรงสถานการณ์ พร้อมกับการดำเนินวิถีทางการทูตเชิงรุก ยกระดับบทบาทของไทยในการเวทีโลก ตามเทรนด์ของการดำเนินนโยบายต่างประเทศในยุคนี้ ฉายภาพ คนเก๋า แต่ การทำงานไม่เก่า ส่งผลให้รัฐบาลได้คะแนนนิยมไปด้วย

จากนั้นนายกฯ อนุทินก็ให้สัมภาษณ์ ปรับน้ำหนักและทิศทางในการแก้ไขปัญหากัมพูชา เปิดแนวรุกในมิติด้านการต่างประเทศมากขึ้น

เมื่อดูจากฉากหน้าแล้ว การทำงานแบบแบ่งกันเล่นระหว่างฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายการต่างประเทศ ถือเป็นแนวรบที่แข็งแกร่งในการรับมือกัมพูชาที่มีสารพัดเล่ห์เหลี่ยม แต่ในแง่ของความรวดเร็ว- เด็ดขาด ตามที่เคยมอบดาบให้กองทัพไปจัดการกลับลดระดับลง ส่งผลต่อแฟนคลับที่มีคำถามอยู่ในใจเหมือนกัน

โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ซึ่งได้ปักป้ายให้กัมพูชาที่รุกล้ำรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป เมื่อวันที่ 3 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยกำลังฝ่ายตำรวจ ฝ่ายปกครอง ป่าไม้ เตรียมพร้อมสแตนด์บายรอรับคำสั่งจาก “หน่วยเหนือ” แต่ในที่สุด พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่ที่ “เครื่องร้อน” ลงไปในพื้นที่นับตั้งแต่วันได้รับตำแหน่ง ใช้วิธีส่งหนังสือขีดเส้นตายอีกครั้งให้ฝ่ายกัมพูชาส่งแผนการรื้อถอนชุมชนออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 7 ต.ค. ไม่เช่นนั้นจะไม่มีการประชุมอาร์บีซีในวันที่ 10-12 ต.ค.นี้ เป็นท่าทีของกองทัพที่จะทำได้ในขณะนี้

ย้อนกลับไปดูคำสัมภาษณ์ช่วงหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ซึ่งมีนายกฯ อนุทินเป็นประธาน ได้เน้นย้ำนโยบายการใช้กฎหมายที่ถูกต้อง และต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม รวมถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา

-“จะใช้กฎหมายไหนก็ตาม กฎอัยการศึก กฎหมายป่าไม้ หรือกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง ทางกองบัญชาการกองทัพไทยจะขอหารือกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกระทรวงมหาดไทย”

-“อันนี้เป็นชาวบ้านทั่วไป ไม่ใช่กองทัพ เราต้องคำนึงถึงวิถีชีวิตคนลำบากอยู่แล้ว มีทั้งเด็ก คนชรา สตรี”

-“จะพยายามใช้กฎหมาย ส่วนวัน-เวลา ก็ตามที่เราเห็นว่าเหมาะสม และน่าจะไม่ใช่ภายในวันที่ 10 ตุลาคมนี้”

มติที่ประชุม สมช.เกิดจากข้อสรุปการประชุมสภากลาโหมในช่วงเช้าวันนั้น ที่มี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม เป็นประธาน และหารือนอกรอบกับ ปลัดกระทรวงกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.เหล่าทัพ ที่ต้องการให้เกิดความชัดเจนต่อการปฏิบัติของกองทัพ จึงต้องขอให้ สมช.ซึ่งมีนายกฯ เป็นประธานพิจารณา 

ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่อง “ความรับผิดชอบ” จากผลของการปฏิบัติที่จะตามมา เพราะต้องยอมรับว่าพื้นที่ด้านนี้ กัมพูชาหวังสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงของไทยไปโชว์ในเวทีนานาชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะความรุนแรงสูญเสียต่อพลเรือน

แม้ในข้อเท็จจริง นานาชาติไม่สามารถชี้นำเราได้ แต่ก็มีอิทธิพลในการกดดันทางอื่น และเมื่อเกมพลิกไปสู่โหมดการเมืองที่มีเรื่องคะแนนนิยมเป็นเดิมพัน กองทัพก็จำเป็นต้องรอจังหวะเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อไป

ยิ่งเมื่อนายกฯ อนุทินกำลังให้น้ำหนักในเกมระหว่างประเทศ ซึ่งมี “สีหศักดิ์” เป็นกำลังสำคัญ อีกทั้งในช่วงปลายปีจะมีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ซึ่งมีผู้นำหลายชาติเข้าร่วม โดยครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ก็เดินทางมาด้วย งานการเมืองการต่างประเทศจึงถูกชูขึ้นมานำ

เพราะอาเซียนซัมมิตถือเป็นเวทีใหญ่ที่ผู้นำหลายชาติเดินทางมาร่วมงาน ในส่วนของประเทศไทย นายกฯ อนุทินเองก็น่าจะถูกจับตามอง เพราะมีแนวโน้มว่าประเด็นของไทย-กัมพูชา อาจจะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ดังนั้น สถานการณ์ในพื้นที่ซึ่งยังตึงๆ กัน ตรวจการณ์กันไปมาก มีการยั่วยุ จัดฉากของกัมพูชา จึงยังไปไม่ถึงจุดแตกหัก เพราะการเมืองต้องลากยาว “รอซีน” ของนายกฯ ไทยในเวทีต่างประเทศก่อน

แต่หากย้อนดูปมร้อนว่าด้วยเรื่องเอ็มโอยู 43 และ 44 การรุกล้ำเขตแดนของกัมพูชา คนที่เรียกร้องให้ยกเลิกส่วนหนึ่งมีจุดมุ่งหมายในการปกป้องอธิปไตย ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักชาติ รักแผ่นดิน

แต่ก็มีไม่น้อยที่ใช้เรื่อง “ชาติ” และ "เขตแดน” เป็นเครื่องมือในเกมทางการเมือง ทั้งใช้ในการทิ่มแทงคู่ต่อสู้ที่มีบาดแผลผลประโยชน์ทับซ้อน และใช้เพื่อสร้างคะแนนนิยมจากกระแสที่เกิดขึ้น

พรรคภูมิใจไทยและรัฐบาลของนายกฯ อนุทิน ก็ถูกจับตามองเช่นกันว่ามีความจริงใจต่อการแก้ไขปัญหานี้แค่ไหน ท่วงทำนองในการเดินเกมจึงถูกตั้งคำถามว่า ทำเพื่อประโยชน์เพื่อส่วนรวม หรือหวังแค่คะแนนนิยมเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้าเท่านั้น 

เพราะหากเป็นเหตุผลหลัง ปัญหาก็จะถูกแขวนไว้เหมือนเดิม ไม่ถูกจัดการให้จบเสียที.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’ แค่คำขู่ ป้อง ‘แก้ไขรธน.’ ล่มกลางทาง

หากใครนับวันรอเลือกตั้งรอบใหม่ ช้าที่สุดคงเหลือเวลาไม่ถึง 3 เดือนดีของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นับแต่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะเวียนไปบรรจบกับวันที่ 31 มกราคม ปี 2569 ตามข้อตกลง MOA ที่ได้ทำไว้กับพรรคประชาชน และ ‘นายกฯ หนู’ ประกาศให้คำมั่นไว้

'อนุทิน' เรียก สมช. ถกด่วนพรุ่งนี้ หาแนวทางยุติปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีการเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) วันที่ 11 พ.ย. มีประเด็นอะไรเร่งด่วนว่า “ไทย - กัมพูชา ไงครับถึงต้องเรียกประชุมสมช.” เมื่อถามถึงความชัดเจนเกี่ยวกับปฏิญญาไทยกัมพูชา

'อนุทิน' สั่งเบรก! ผ่อนผัน 'แรงงานกัมพูชา' ใบอนุญาตหมดอายุ อยู่ต่อในไทย

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งชะลอการลงนามในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าว

เพื่อไทยจ่อเปิด 3 แคนดิเดตนายกฯ ‘สุริยะ’ มาแน่ สะพัดอีก 2 จากตระกูลชิน

พรรคเพื่อไทยเผย เตรียมเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 รายชื่อ ล็อกแล้ว 1 คือ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรค ขณะอีก 2 รายอยู่ระหว่างทาบทาม “ณัฐพงศ์ คุณา