10 ต.ค. “วันดีเดย์” ครบกำหนดเส้นตายที่ “ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว” ได้แจ้งกับ “ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย” ให้นำชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่รุกล้ำอธิปไตยไทยเหนือเส้นแดง บ้านหนองจาน และหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว โดยไม่จำเป็นต้องหารือคณะกรรมาธิการเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือเจบีซีก่อน ตามที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นข้อตกลงของคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา หรือจีบีซี
ก่อนหน้านั้นเพียง 1 วัน พล.ต.เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ทำหนังสือถึงผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารราบที่ 51 แจ้งการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ในวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยกองทัพภาคที่ 1 ได้แจ้งเหตุผลว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน
สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ติดตามสถานการณ์ว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในวัน-เวลาดังกล่าว เป็นยุทธวิธีทางทหาร หรือแค่ซื้อเวลากันแน่?
เพราะก่อนหน้านั้น พล.ท.วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ก็ลงพื้นที่ซักซ้อมแผนการปฏิบัติในภูมิประเทศจำลองมาแล้ว เหมือนเป็นการเตรียมนับหนึ่งเปิดเกมยึดพื้นที่คืนในไม่ช้า
ขณะที่มวลชนกลุ่มต่างๆ เริ่มทยอยเข้าพื้นที่สร้างแรงหนุนให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติยึดคืนอธิปไตยกลับมาได้ ตาม “เดดไลน์” ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วได้แจ้งเอาไว้ ไม่นับกระแสสังคม โลกออนไลน์ ต่างจับตามองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในที่ผู้ว่าฯ ประกาศเดดไลน์
การจับตามองของฝ่ายต่างๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 10 ต.ค. กลับกลายเป็น “แรงกดดัน” ที่ย้อนไปยังกองทัพ ซึ่งถือ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกว่า “ไม่ทำจริง” เพราะกลัวพลาด หรือ “สับขาหลอก” ตามแผนที่วางไว้
เมื่อสแกนดูกลุ่มมวลชนที่จะเข้าพื้นที่ มีทั้งสายฮา และสายแข็ง ไล่ตั้งแต่ "เจ๊เอ๋" เจ้าหนี้สายโหด กลุ่มคนรักชาติ-รักแผ่นดิน “วีระ สมความคิด” ซึ่งประกาศจะแจ้งความผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และผู้บัญชาการทหารบก ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และ “กัน จอมพลัง” ที่จะเคลื่อน 60 ตู้คอนเทนเนอร์ไปสแตนด์บายในบริเวณนั้น และในช่วงบ่ายคณะของ IOT ที่จะลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์ด้วย
ทำให้กองทัพอาจต้องทอดระยะเวลาปฏิบัติออกไป เพื่อไม่ให้กัมพูชาตั้งตัว จนจัดมวลชนเข้าพื้นที่สร้างสถานการณ์รับมือฝ่ายไทยได้ จึงเริ่มต้นด้วยการเปิดปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ยืนระยะของการใช้แผนที่เตรียมไว้ออกไปก่อน
เพราะแนวทางชัดเจน ตั้งแต่ระดับนโยบาย โดยนายกฯ ของไทยย้ำหลายครั้งว่า ไฟเขียวให้กองทัพตัดสินใจ โดยมีมติประชุมสภาความมั่นคง (สมช.) รองรับคำสั่งการนั้น และได้มอบหมายให้กองบัญชาการกองทัพไทยจัดทำแผนการปฏิบัติ
ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทหารสูงสุด) จึงเรียกประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหาร วาระพิเศษ ได้ข้อสรุป 3 แนวทางคือ
1.ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยอนุโลม เพื่ออำนวยความสะดวก และมีความรัดกุมในการปฏิบัติ
2.ให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกจัดทำแผนปฏิบัติการ ระเบียบปฏิบัติประจำ และกฎการใช้กำลังที่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และกฎหมายของไทย
3.ขอให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าพนักงานตามกฎหมายต่างๆ รวมทั้งกำลังประจำถิ่น สนับสนุนกำลังเพื่อเข้าร่วมการปฏิบัติกับฝ่ายทหาร
ซึ่งทิศทางคือการดำเนินการตามกรอบเดิมกับพลเรือน คือจากเบาไปหาหนัก ต้องไม่เกิดความสูญเสียกับชีวิต ซึ่งฝ่ายไทยต้องวางแผนเก็บหลักฐานการปฏิบัติทุกขั้นตอน เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลจากอีกฝ่าย เพราะกัมพูชาต้องการภาพหลักฐานไปเคลมความเป็นผู้ถูกกระทำมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
โดยเริ่มใช้กฎหมายหลายฉบับควบคู่กันไปตั้งแต่ พ.ร.บ.ป่าไม้ และ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และหากมีมวลชนต่อต้าน ก็จะใช้ “โมเดลปราบม็อบ” เช่น รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา เครื่องเสียงความถี่สูง กระสุนยาง เหมือนที่เห็นในพื้นที่ชุมนุมทางการเมืองกลางกรุง ช่วงม็อบ 3 นิ้ว ตอกย้ำสัญลักษณ์ “ตู้คอนเทนเนอร์” ที่เอาไว้กั้น “ฮาร์ดคอร์” ขาแรงที่ใช้สิ่งเทียมอาวุธโจมตี แต่หากอีกฝ่ายเปิดฉากใช้อาวุธ จึงจะใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติ
ส่วนเหตุผลหนึ่งที่มีมติใช้ “กฎอัยการศึก” เนื่องจากไว้คุ้มครองการปฏิบัติเจ้าหน้าที่รัฐ 100% ป้องกันการฟ้องร้องเอาผิดทางแพ่งและอาญา
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยังอธิบายว่า ผลการประชุมผู้บัญชาการทางทหารล่าสุด ได้เห็นชอบให้ใช้กฎหมายปกติ เช่น พระราชบัญญัติป่าไม้ พระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ควบคู่กับพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457 ที่มีผลบังคับใช้ในพื้นที่ชายแดนอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมเหมาะสมกับสถานการณ์
“จากการประเมินสถานการณ์ล่าสุด พบว่าปัญหาในพื้นที่มีความละเอียดอ่อนสูง เนื่องจากฝ่ายกัมพูชามุ่งมั่นที่จะใช้วิธีการนำมวลชนมาชุมนุมในลักษณะจัดตั้งมา เพื่อใช้เผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและตำรวจไทย ทั้งนี้ เพื่อยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้แล้วนำภาพเหตุการณ์ที่ได้ไปบิดเบือนต่อสายตาสังคมโลก ทั้งนี้ กองทัพบกโดยกองทัพภาคที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างการเตรียมมาตรการที่เหมาะสมและรัดกุม เพื่อดำเนินการบังคับใช้กฎหมายต่อชุมชนที่รุกล้ำในเขตอธิปไตยของไทย ให้เป็นไปตามเป้าหมายภายใต้หลักมนุษยธรรม และกติกาของสากล” โฆษกกองทัพบกระบุ
ในระหว่างนี้จึงเป็นช่วงของการเตรียมความพร้อม และกำหนดสภาวะแวดล้อมให้เกิดความชอบธรรมในการปฏิบัติ ภายใต้การยืนระยะ รอคำสั่ง วัน ว. เวลา น. ที่จะออกมา
พร้อมไปกับการย้ำเตือนสังคม สร้างการรับรู้ว่า “เอาจริง” ไม่ใช่แค่ออกคำสั่งอย่าง “ขึงขัง” ไปวันๆ ลดข้อครหาว่า รักษาภาพ และแคร์นานาชาติมากเกินไป
และยังต้องระวังด้วยว่า อย่าสับขาหลอก จนสะดุดขาล้มกลางทางเท่านั้นเอง!!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


