ยกแรก‘นายกฯหนู’รับศึกนักร้อง! ปกปิด ‘แรร์เอิร์ธ’ ส่อขัดรธน.-จริยธรรม

ช่วงนี้ “นายกฯ หนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บินภารกิจต่างประเทศต่อเนื่อง หลังเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเดือนกว่าแล้ว ได้ลุยงานเต็มที่ แต่ก็โดนแรงกระแทกเต็มที่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในห้วงเดินสายโชว์ตัวต่างชาติ ทั้งภารกิจเข้าร่วมประชุมและการเยือนอย่างเป็นทางการ

สำหรับภารกิจที่ นายอนุทิน บินเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งไฮไลต์ของทริปมาเลเซียคือการร่วมลงนามสันติภาพร่วมกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมี นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ ดาโต๊ะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม จากนั้นวันที่ 28 ตุลาคม มีการหารือทวิภาคีเต็มคณะกับนายกฯ กัมพูชาอีกครั้ง 

โดยไทยและกัมพูชาเห็นพ้องที่จะร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน และความสำเร็จไทยในการใช้ช่องทางทางการทูตเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ไขข้อพิพาท ลดความขัดแย้ง และหากทั้ง 2 ฝ่ายสามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้อย่างครบถ้วน ก็พร้อมเริ่มต้นฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อให้ประชาชนตามแนวชายแดนได้กลับมามีชีวิตที่ปลอดภัยและมั่นคงอีกครั้ง

และต่อเนื่องในช่วงปลายเดือนตุลาคม นายอนุทินบินต่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างเข้าร่วมการประชุม ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี

สีสันรอบนี้คือการได้เจอกับ ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นรอบที่ 2 โดยนายกฯ หนูได้นั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ และภายหลังงานเลี้ยงอาหารค่ำ ยังได้เดินไปยืนพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยบรรยากาศเป็นกันเองอีกด้วย

ผลจากการพูดคุยถึง 2 ครั้งนั้น นายกฯ หนู แย้มว่ามีสัญญาณดีเรื่องกำแพงภาษีที่ไทยขอให้สหรัฐลดเป็น 0% จากปัจจุบันที่ 19% ซึ่งมีแนวโน้มในทางที่ดีด้วย

แต่ทว่าในการเดินสายทั้ง 2 ประเทศนั้น นายกฯ หนูถูกวิจารณ์อย่างหนักในห้วงการร่วมเวทีที่ประเทศมาเลเซีย ในเรื่อง การลงนามสันติภาพ ที่มีเสียงสะท้อนว่าทำได้หรือไม่ และทำได้มากน้อยแค่ไหน จนนักร้องอย่าง นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติรักแผ่นดิน ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ไต่สวนและชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรี

กรณีไปลงนามในปฏิญญาสันติภาพร่วมกับนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา โดยที่ตนไม่มีอำนาจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเขตอำนาจอธิปไตยของไทย กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าการลงทุน รวมทั้งยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 ซึ่งอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 120 และเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงอีกด้วย

นอกจากนี้ในการเยือนมาเลเซีย ยังปรากฏว่าเรื่องแดงขึ้นมาอีก เมื่อนายกฯ อนุทินได้ลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่อง แร่แรร์เอิร์ธ (rare earth deals) กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ "บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการเพิ่มความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและส่งเสริมการลงทุน" ที่กลายเป็นประเด็นร้อนทันที เพราะเรื่องดังกล่าวไม่เคยปรากฏเป็นข่าวให้คนไทยได้รับรู้มาก่อน ไม่เคยมีการแถลงข่าวจากรัฐบาล แต่จู่ๆ ไปจับปากกาลงนามเอ็มโอยูร่วมกัน เหมือนเป็นการลักไก่ และถูกมองว่าทำให้ไทยเสียเปรียบสหรัฐหรือไม่?

ซึ่งนายกฯ อนุทินยอมรับว่ามีการลงนามจริง แต่ในเอ็มโอยูระบุว่า ทุกอย่างจะต้องอยู่ภายใต้ความเป็นธรรม หลักธรรมาภิบาล และภายใต้กฎระเบียบกฎหมายของไทย ไม่ผิดต่อหลักรัฐธรรมนูญ เงื่อนไขเช่นนี้เป็นเงื่อนไขทั่วไปที่ยอมรับได้ และเนื้อหาในเอ็มโอยูมีวัตถุประสงค์หลักคือ การแสวงหาความร่วมมือด้วยกัน ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และไม่ได้ปกปิด เพราะผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษแล้ว

พร้อมย้ำว่าเป็น “บันทึกความเข้าใจ” ไม่ได้ผูกพัน และหากวันหนึ่งเข้าใจเป็นอย่างอื่นก็เลิกแล้วต่อกันได้

ขณะที่ นายปกรณ์​ นิลประพันธ์​ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ออกมาชี้แจงด้วยว่า กรณีดังกล่าวไม่ผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ฉะนั้นไม่ถือเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่มีอะไรมาก

ในเรื่องนี้นายกฯ ก็ไม่พ้นถูกร้องเช่นกัน โดย นายศรีสุวรรณ เจ้าเดิม ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนและชี้มูลความผิดนายอนุทิน ฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ กรณีลงนามในเอ็มโอยูแร่แรร์เอิร์ธ ระหว่างไทย-สหรัฐ โดยปกปิดข้อมูลข่าวสารเรื่องดังกล่าวไม่ให้ประชาชนทราบก่อนลงนาม อันอาจกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติได้

รวมถึง นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นหนังสือถึง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบความเหมาะสมของท่าทีทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัฐบาลต่อปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ และบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแร่หายากด้วย ที่เหมือนเปิดทางให้สหรัฐล่วงรู้และแทรกแซงข้อมูลด้านทรัพยากรธรรมชาติ และเข้าข่ายเจตนาส่อเปิดช่องทางให้สหรัฐเข้ามาแทรกแซงการบริหารบ้านเมือง อาจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 3 ที่บัญญัติไว้ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ไม่สามารถเปิดทางให้คนอื่นใดเข้ามามีอิทธิพล

 อย่างไรก็ตาม การบินเวทีต่างประเทศรอบนี้ นอกจากนายอนุทินได้จับมือสานสัมพันธ์นานาประเทศ ได้เห็นผลสำเร็จขั้นต้นเรื่องสันติภาพไทย-กัมพูชาแล้ว แต่ยกแรกก็ถูกฟีดแบ็กประเด็นร้อน โดยเฉพาะเรื่อง แร่แรร์เอิร์ธ ยังเป็นที่คลางแคลงใจของประชาชน จนถูกร้องไปถึงสภาและ ป.ป.ช.

งานนี้นายกฯ หนูและรัฐบาลคงต้องเร่งทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นโดยด่วน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’

นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ

โจทย์หิน3แคนดิเดตนายกฯพท. ลูกเจ๊แดงโปรไฟล์ดีแต่มีข้อกังขา!

หลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา

พรรค‘ปชน.’ขอโทษจากใจ วอน‘ประชาชน’ไปต่อด้วยกัน

ภาพที่หัวหน้าพรรคสีส้มทุกยุคสมัยมาปรากฏตัวพร้อมหน้าบนเวทีเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก เอาเข้าจริงอาจจะยิ่งกว่าเวทีปราศรัยใหญ่ก่อนเลือกตั้งทุกครั้งด้วยซ้ำ เพราะในกิจกรรม

เร่งเกม'เลือกตั้ง-จบศึกชายแดน' เมื่อทุกแนวรบกำลังได้เปรียบ

เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นฉันทามติของสังคมที่ต้องการให้กองทัพดำเนินกลยุทธ์ในการนำพื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการของไทยคืนจากกัมพูชาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการสู้รบระลอกที่ 2

ศึกชายแดน เปลี่ยนเกม! ‘อนุทิน’ พลิกบีบ ‘ส้ม-แดง’

พรรคภูมิใจไทย พลิกเกมขี่กระแส ชาตินิยม ได้อย่างทันทีท่วงที เมื่อ “นายกฯ หนู”-อนุทิน ชาญวีรกูล พลิกสถานการณ์จากเสียงตำหนิเรื่องน้ำท่วมใต้และปัญหาสแกมเมอร์ล่าช้า มายืนบนพื้นที่ที่ตัวเองได้เปรียบ คือกระแสชาตินิยม และประเด็นความมั่นคง