นับหนึ่ง"ปฏิบัติการทางทหาร" พลิกยุทธวิธีจาก “ป้องกัน-ได้สัดส่วน”

หลังจากเกิดเหตุทหารเหยียบระเบิดช่วงเช้าของวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา บริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง เป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 4 นาย หนึ่งในนั้นคือ จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ข้อเท้าขวาขาด

บรรยากาศในวงทหารก็เริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที โดยช่วงเช้าวันนั้น พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ได้เดินทางไปเปิดงานนิทรรศการแสดงยุทโธปกรณ์ Defense and Security 2025 พอดี และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ได้เดินทางเข้ามารายงานที่ห้องรับรอง หลังจาก พล.อ.ณัฐพลได้หารือทวิภาคีกับ รมว.กลาโหมอาเซียน ขณะที่ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ติดภารกิจในพิธีสถาปนากรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ จ.ลพบุรี

จากนั้น พล.อ.ณัฐพลได้โทรศัพท์สายตรงถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานสถานการณ์ และอธิบายถึงแนวทางในการปฏิบัติหลังจากนี้ คือการชะลอการปฏิบัติตามถ้อยแถลงไทย-กัมพูชา หรือ Joint Declaration : JD ทุกข้อ และจะยังไม่มีการส่งเชลยศึก 18 นายกลับ ซึ่งนายกฯ ได้เห็นชอบและยืนยันในท่าทีที่ตรงกันระหว่างรัฐบาลและกองทัพ เพื่อปฏิกิริยากับเหตุที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นอย่างเป็นเอกภาพ

ขณะที่ในพื้นที่ พล.อ.วีระยุทธ์ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้อำนวยการเหตุดังกล่าว และส่งผู้เชี่ยวชาญในการเข้าไปตรวจสอบถึงประเภทของทุ่นระเบิด และพบว่าเป็นระเบิดสังหารบุคคลที่ถูกวางใหม่ คาดว่าทหารกัมพูชาที่เข้ามาตัดลวดหนาม ต้องการนำระเบิดข้ามมาวางดักทหารไทยที่จะเข้าไปตรวจแนว หลังจากพบการเคลื่อนไหวบริเวณนี้

เมื่อปรากฏหลักฐานชัดเจน ทำให้นายกฯ เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ในวันรุ่งขึ้นทันที และมีมติให้ยุติการปฏิบัติตาม JD พร้อมกับเห็นชอบให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเขตอธิปไตยไทย 

โดยก่อนที่จะมีการประชุม สมช. เหล่าทัพได้ปล่อยเป็นคำกล่าวแสดงจุดยืนและท่าทีเลิกสังฆกรรมกับกัมพูชา ไล่ตั้งแต่โพสต์แรกของกองทัพอากาศที่ตอกย้ำการยุติการดำเนินการทุกข้อตกลงระหว่าง 2 ชาติ จนกว่าจะไร้ความเป็นปฏิปักษ์ ต่อด้วยคำกล่าวของ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ขอรักษาสิทธิ์ต่อการรักษาเกียรติและอธิปไตยของไทย

ขั้นตอนต่อไปคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะได้เรียกประชุมผู้บัญชาการทหาร  เพื่อหารือถึงความพร้อมของการปฏิบัติตามมาตรการจากเบาไปหาหนัก และหากต้องพัฒนาไปสู่การใช้กำลังทหารตามแผนป้องกันประเทศด้านตะวันออก หรือ “แผนจักรพงษ์ภูวนาถ” ก็ต้องอยู่ในกรอบของการป้องกันตัวเอง (ซึ่งกรณีนี้คือชีวิตของกำลังพลที่ถูกทุ่นระเบิด และตอบโต้อย่างได้สัดส่วน

สวนทางกับกระแสสังคมที่ต้องการให้รัฐบาลและกองทัพจัดการแบบม้วนเดียวจบ ยึดพื้นที่ส่วนที่ยังเอากลับคืนไม่ได้ มาเป็นของไทย และการจะหวังให้กัมพูชาร่วมมือในการทำตามข้อตกลงทวิภาคีในระดับต่างๆ นั้น ก็เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ และยากจะเกิดขึ้นได้จริง

 “ทางกองทัพไม่ได้คาดหวังความจริงใจจากกัมพูชาอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่กระทำเราฝ่ายเดียว เราจะดำเนินการในเขตอธิปไตยของไทย” พล.อ.ณัฐพลกล่าวหลังการประชุม สมช.            

เมื่อย้อนกลับไปดูถ้อยแถลง JD ซึ่งมีสหรัฐเป็นสักขีพยาน ปมประเด็นที่เขาให้น้ำหนักในการแก้ปัญหาคือ “สแกมเมอร์” เพราะเป็นปัญหาซึ่งกระทบในวงกว้าง อีกทั้งกระทบต่อพลเมืองของชาติพันธมิตร ซึ่งอาจหมายรวมถึงพลเมืองสหรัฐด้วย

ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดนั้น ต้องยอมรับว่าสหรัฐให้น้ำหนักน้อยลงไป เพราะไม่ได้กระทบต่อผลประโยชน์ของเขาเหมือนเรื่องสแกมเมอร์ จึงไม่มีหลักประกันใดๆ ที่เขาจะร่วมกดดันไปกับไทย ให้กัมพูชารับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว การประท้วงหรือแสดงท่าทีตอบโต้ของไทยจึงสุ่มเสี่ยงที่จะไม่มีแรงหนุน

แต่ในเมื่อเรายืนยันในการดำเนินการเก็บกู้ในพื้นที่ของเรา บนเส้นปฏิบัติการที่ตอนนี้ยังมีกัมพูชาตรึงกำลังอยู่บางจุด โดยเฉพาะที่ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา หรือแม้กระทั่ง ห้วยตามาเรียที่เกิดเรื่อง การขยับเข้าแนวเส้นปฏิบัติการเพื่อดำเนินการจึงเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการ แม้จะเกิดการเผชิญหน้าทางทหารก็ตาม

เมื่อย้อนดูการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งไทยและกัมพูชาต้องรายงานเป็นเอกสารทุกปี ล่าสุดพบว่าไทยทำลายไปเกือบหมดแล้ว โดยดำเนินการจาก 2,000 กว่าตารางกิโลเมตร เหลือเพียง 12.8 ตารางกิโลเมตร จำนวนทั้งสิ้น 64 จุด ทั้งหมดอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาเท่านั้น โดยไทยมีแผนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปี 2569 ในขณะที่กัมพูชายังเหลืออีกเป็น 10 เท่าจากของเรา

ซึ่งการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ข้อเสนอของไทยต้องตรวจสอบความจริงใจของกัมพูชา จึงเสนอพื้นที่นำร่อง 13 พื้นที่ เพราะกัมพูชาไม่มีท่าทีตอบรับภายใต้กรอบระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือนนี้ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากกัมพูชาตั้งแต่ต้น ในช่วงก่อนทำถ้อยแถลง หรือ JD ไทยจึงมีการพูดคุยพื้นที่นำร่องเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของกัมพูชาในเบื้องต้นก่อน 5 พื้นที่ ได้แก่ ช่องเหว สายโท หนองจาน หนองหญ้าแก้ว ชำราก แต่กัมพูชาก็ยังไม่ตอบรับ มีแต่ทางสหรัฐและมาเลเซียที่รับทราบ แต่ภายหลังกัมพูชามาตอบรับในพื้นที่นำร่องเร่งด่วนมาแค่ 1 พื้นที่คือ ที่หนองจาน-หนองหญ้าแก้วเท่านั้น ซึ่งเกิดหลังจากที่เหตุการณ์ที่บ้านสายโท แต่ภายหลังก็ได้เปิดทางและไม่ได้ขัดขวางให้ TMAC เข้าพื้นที่ได้แต่อย่างใด

จากนั้นคณะทำงานของ TMAC และ CMAC ได้นัดหารือและลงพื้นที่สำรวจรังวัดหลักเขตที่ 47 จ.สระแก้ว ซึ่งจุดที่มีการสำรวจพื้นที่อยู่บริเวณบ้านอ่างศิลา ริมขอบของพื้นที่บ้านหนองจานที่ชาวกัมพูชาตั้งบ้านเรือนรุกล้ำเขตแดน แสดงออกถึงความพลิ้วของกัมพูชาที่เด้งเชือกไม่เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

ส่วนหนึ่งเหมือนเป็นการยอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ที่วางทุ่นระเบิดดังกล่าวเอง และยังเป็นเหมือนการป้องกันการขยับแนวกำลังทหารจากฝั่งไทย ดังนั้นจึงพยายามยื้อในเรื่องความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดมาตลอด ใช้เล่ห์ในการดำรงความมุ่งหมายพยายามที่จะยึดพื้นที่ของไทย จนทำให้กำลังพลของไทยเสียขาดังกล่าว

ในขณะที่ฝ่ายไทยต้องเจอกับแรงบีบทุกด้าน ทั้งจากฝ่ายกัมพูชา มหาอำนาจ หรือแม้แต่กระแสสังคมของเราเองที่ต้องการให้ปิดจ๊อบให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หลักการที่ฝ่ายกองทัพได้ดำเนินการมาตลอดคือ อยู่ในกติกา กฎหมาย ความชอบธรรม จึงใช้แนวทางการปฏิบัติการทหารทหาร “ป้องกันตัวเอง-ตอบโต้ได้สัดส่วน” มาตลอด แต่ในที่สุดก็ต้องมาพ่ายเกมผู้เล่นนอกกติกาในที่สุด

 จึงต้องติดตามว่ากองทัพจะปรับยุทธวิธีอย่างไรภายใต้โจทย์ที่กองทัพต้องยึดพื้นที่คืนให้ได้ ไม่สูญเสีย นานาชาติยอมรับ กระแสสังคมเข้าใจ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ

เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569

'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'

ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ

แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน