ในวันที่เงียบสงบของเมืองกรุง วันที่ 16 พ.ย.2568 กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สะเทือนวงการยุติธรรมไทย เมื่อชุดปฏิบัติการพิเศษของกรมราชทัณฑ์บุกจู่โจม เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อย่างกะทันหัน เวลาประมาณช่วงเกือบเที่ยงของวันอาทิตย์นั้น เจ้าหน้าที่ได้พบภาพที่ไม่อยากจะเชื่อ ห้องลับใต้บันได ซึ่งเดิมทีเป็นห้องรับรองแขกของผู้บัญชาการเรือนจำ ถูกดัดแปลงเป็น “ฮาเร็มส่วนตัว” สำหรับนักโทษชาวจีนกลุ่ม “จีนเทา” ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น เรียกเก็บเงินออนไลน์ (online scam) และเครือข่ายมาเฟีย
หลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุชัดเจนและน่าขยะแขยง กล่องถุงยางอนามัยใช้แล้วกระจัดกระจาย กระดาษทิชชูเปื้อนคราบ และร่องรอยคราบอสุจิที่ถูกเก็บตัวอย่างส่งตรวจ DNA โดยสถาบันนิติเวชศาสตร์ โรงพยาบาลตำรวจ ทันทีที่บุกเข้าไป เจ้าหน้าที่พบหญิงสาวชาวจีน 2 คนกำลัง “ให้บริการ” แบบสองต่อสองกับนักโทษวีไอพีชาวจีนในห้องนั้น ขณะที่อีก 1 คนรออยู่ด้านบนเพื่อ “สลับเวร”
พวกเธอคือนางแบบชื่อดังจากจีนแผ่นดินใหญ่ ค่าจ้างสูงถึงหลักล้านบาทต่อครั้ง โดยบินตรงมาทุกวันอาทิตย์ เพื่อ “บำเรอกาม” ในแดนคุกที่ควรเป็นสถานที่ลงโทษคนทำผิดกฎหมาย
การจู่โจมครั้งนี้ เป็นผลจากการร้องเรียนลับจากผู้ต้องขังชาวไทยในแดนพื้นที่ที่นักโทษชาวจีนกว่า 50 คน (ส่วนใหญ่ถูกข้อหาอาชญากรรมไซเบอร์) ครองอิทธิพล พวกเขาร้องเรียนว่าถูกบังคับให้ “รับใช้” นักโทษจีน หรือแม้กระทั่งแปลภาษาจีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อกับโลกภายนอก ข้อมูลนี้รั่วไหลมาถึง พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ในช่วงต้นเดือน พ.ย.2568
ก่อนหน้านี้ กรมราชทัณฑ์เคยบุกตรวจ แต่ทุกครั้งข่าวรั่วไหลล่วงหน้า นักโทษจีนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง “ล้างห้อง” ทิ้งหลักฐานเรียบ แต่ครั้งนี้ชุดปฏิบัติการพิเศษนำโดย นายยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ใช้กลยุทธ์ “เงียบกริบ” โดยลงนามคำสั่งจากนางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 15 พ.ย.2568
เมื่อบุกเข้าไป พวกเขาพบ “เส้นทางลับ” ที่เชื่อมจากห้องทำงานของ นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำชั้น 2 ลงสู่ห้องใต้บันไดผ่านประตูเหล็กซ่อน ช่องทางนี้ไม่ใช่ทางเข้าปกติสำหรับญาติ แต่เป็น "ทางด่วน" สำหรับนางแบบสาวที่ถูกพาเข้าโดยเจ้าหน้าที่ผู้คุม 5-6 คนต่อครั้ง บันทึกกล้องวงจรปิดแสดงภาพชัดเจน หญิงสาวในชุดเดรสหรูถูกพาเข้าก่อนถูกนำไปรอในห้องนั้น ขณะที่นักโทษจีนถูก "เบิกตัว" จากแดนปกติมาพบปะแบบส่วนตัว นายมานพ ชมชื่น อยู่ในชั้น 2 ช่วงเวลานั้น
จากการสืบสวนเบื้องต้นของดีเอสไอ ซึ่งได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม เมื่อวันที่ 21 พ.ย.2568 พบว่า นักโทษจีนกลุ่มนี้เป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีของศาล โดยมีเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ กว่า 20 คนคอยหนุนหลัง เอื้อประโยชน์ แลกกับค่าใช้จ่ายสำหรับ "บริการ" หลักล้าน โดยมีนายหน้าชาวจีนในกรุงเทพฯ จัดการบินนางแบบ "ตัวท็อป" จากจีนมาทุกสัปดาห์ หญิงสาวทั้ง 2 คนที่ถูกพบ (อายุ 20-25 ปี) ปฏิเสธข้อหาค้าประเวณี แต่หลังจากนั้นหญิง 2 รายดังกล่าว เดินทางกลับจีนเป็นที่เรียบร้อย
หลักฐานเพิ่มเติมจากโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้จากเจ้าหน้าที่ผู้คุม แสดงข้อความแชตภาษาจีนและไทย เช่น "วันนี้สาวจากเซี่ยงไฮ้มาถึงแล้ว ค่าบริการ 1.5 ล้าน เตรียมห้อง" และ "โอนเงินเสร็จแล้ว ปล่อยนักโทษ No.47 ลงมา"
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 20 คนถูกสอบสวนแล้ว รวมถึงผู้คุมชั้นผู้น้อย 10 คน ผู้คุมชั้นกลาง 7 คน และผู้บริหาร 3 คน โดย นายมานพ ชมชื่น ถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ทันทีวันที่ 17 พ.ย.2568 ตามคำสั่งกระทรวงยุติธรรม และหลังจากนั้นวันที่ 24 พ.ย.2568 มีแชตไลน์จากกระทรวงยุติธรรม เผยแพร่ข่าวโดยปลัดกระทรวงยุติธรรมและอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้ลงนามคำสั่งให้ให้นายมานพออกจากราชการไว้ก่อน ก่อนที่ข่าวนั้นจะถูกลบ
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องจีนเทา แต่จุดประกายคำถามถึงระบบสิทธิพิเศษสำหรับ "นักโทษวีไอพี" ในเรือนจำเดียวกัน โดยเฉพาะ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกคุมขังที่นี่ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2566 (22 ส.ค.-23 ส.ค.) ก่อนย้ายไปโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 และครั้งล่าสุดในปี 2568 (9 ก.ย.) หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 1 ปี
ในครั้งแรก ทักษิณ ถูกส่งตัวมาที่แดนกักกันโรค หลังจากนั้นไม่ถึง 24 ชม. เจ้าหน้าที่ได้นำตัวทักษิณออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไปยังห้องสุดหรู รพ.ตำรวจ เพื่อรักษาตัวโรคเรื้อรังตามที่แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ และผู้คุมกล่าวอ้าง และครั้งที่ 2 ทักษิณถูกคุมขังอย่างจริงจังที่เรือนจำกลางคลองเปรม ถูกคุมขังอยู่ในแดนพยาบาล หรือที่เรียกว่า แดน 10 ซึ่งการแยกขังในบริเวณสถานพยาบาล โดยทางการแพทย์ในเรือนจำระบุว่า เป็นผู้ต้องขังกลุ่มเปราะบาง ตามเกณฑ์กรมราชทัณฑ์ (อายุเกิน 60 ปี มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคปอดจากโควิด และหัวใจ) หลังตรวจร่างกายเมื่อเข้าเรือนจำ พบค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 95% ซึ่งเสี่ยงช็อก
แต่สถานพยาบาล หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ห้องวีไอพีแบบอ่อนๆ ไม่ได้เวอร์วังเหมือนในเคสวีไอพีผู้ต้องขังจีนเทา แต่ในสถานพยาบาลมีเตียงนิ่มๆ ส่วนตัว พัดลม รวมถึงแอร์อยู่ในนั้นด้วย ไม่ต้องอยู่แบบแออัดเหมือนแดนอื่น
โอกาสที่ ทักษิณ จะเข้าถึงห้องวีไอพีแบบจีนเทา คาดว่ามีโอกาส แต่น้อย เพราะแค่ได้อยู่ในแดนสถานพยาบาลได้ยาวๆ ถือว่าหรูแล้ว แต่ในระบบที่คอร์รัปชันฝังราก ถ้าทักษิณ (หรือครอบครัว) จ่าย "ค่าดูแลพิเศษ" ผ่านช่องทางอ้อม โอกาสเกิดขึ้นได้
กรณีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเพศ แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงการเสื่อมโทรมของระบบยุติธรรมไทย กรมราชทัณฑ์ต้องปฏิรูประบบตรวจสอบภายใน สำหรับเจ้าหน้าที่เอื้อประโยชน์ นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล สั่งสอบอย่างเด็ดขาด สุดท้ายนี้สิ่งที่ประชาชนคาดหวังคือ คุกควรจะเป็นคุกแบบอุดมคติ มีมาตรการที่ทำให้ผู้ต้องขังหลาบจำ สำนึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองก่อ เพื่อให้ออกมาเป็นคนดีสู่สังคม ไม่ใช่คอยอวยคอยโอ๋ เกรงใจ เป็นสวรรค์นายทุนของผู้ต้องขังเหมือนที่เคยเกิดขึ้น!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


