เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569 ก็ทำให้ ที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า จะยุบสภาฯ ก่อนการยื่นญัตติซักฟอก การยุบสภาฯ ก็น่าจะเกิดขึ้นช่วงต้นปีหน้าหรือกลางๆ เดือนมกราคม 2569 ที่ก็จะทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นเร็วกว่าไทม์ไลน์เดิม 31 ม.ค.2569 ประมาณ 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม กับปฏิทินการเมืองที่ไล่หลังมาเรื่อยๆ ยังไงการยุบสภาฯ เกิดขึ้นไม่เกิน 31 ม.ค.2569 ที่ไม่ว่ายุบสภาฯ เร็วขึ้นหรือเป็นไปตามเดิม แนวโน้มวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม 2569
ขณะเดียวกัน บทบาทของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากต่อการเตรียมเลือกตั้ง โดยเมื่อมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้ง สส. จะทำให้ 7 เสือ กกต. มีอำนาจเต็มในการควบคุมการเลือกตั้ง และการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งที่จะมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลตามมา
สำหรับตัวองค์กร กกต.พบว่า หลังที่ประชุม กกต.เมื่อ 18 พ.ย.มีมติ 4 ต่อ 3 เลือก ณรงค์ กลั่นวารินทร์ เป็นประธาน กกต.คนใหม่แทนอิทธิพร บุญประคอง ที่พ้นจากตำแหน่ง เพราะอยู่ครบวาระ โดยเฉือนเอาชนะ สิทธิโชติ อินทรวิเศษ กกต.และอดีตประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกาฯ ไปได้แบบเฉียดฉิว แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะต่อมามีเสียงทักท้วงจากนักกฎหมายและบางฝ่ายที่มองว่า มติดังกล่าวอาจมีปัญหาข้อกฎหมาย
จนมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นของกลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (สว.) สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ที่ยื่นเรื่องผ่าน สว.ไม่ให้ประธานวุฒิสภานำชื่อ ณรงค์ กลิ่นวารินทร์ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพราะมองว่ายังมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องเคลียร์ โดยให้เหตุผลว่า วันเลือกประธาน กกต. ตัวณรงค์ รักร้อย อดีต ผวจ.อุทัยธานี และอนันต์ สุวรรณรัตน์ อดีตปลัด ก.เกษตรฯ 2 ว่าที่ กกต.ใหม่ ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมเลือกประธาน กกต.
ซึ่งถึงตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า ทางประธานวุฒิสภาและฝ่ายกฎหมายของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาและสำนักงาน กกต.มีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไร มีการชะลอเรื่องไว้หรือไม่ หรือว่ามั่นใจว่าไม่มีปัญหาข้อกฎหมาย และอยู่ในขั้นตอนการเตรียมนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ที่ต้องรอดูความชัดเจนต่อไป
ขณะเดียวกัน วันพฤหัสบดีที่ 4 ธ.ค.นี้ 2 กกต.คือ เลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และ ฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ก็จะพ้นวาระการเป็น กกต.
ทำให้ก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดรับสมัครบุคคลที่ต้องการเข้าไปเป็น กกต.ใหม่ 2 เก้าอี้ และเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมการสรรหา กกต.ใหม่ 2 คน ที่มี อดิศักดิ์ ตันติวงศ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ได้มีการประชุมคณะกรรมการสรรหาลงมติเลือกบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต. ซึ่งปรากฏว่าที่ประชุมมีมติเสียงข้างมากเลือก จิรุตม์ วิศาลจิตร อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่าและกรมขนส่งทางบก อดีตประธานบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งเกษียณอายุราชการเมื่อ 30 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา กับ มณฑล สุดประเสริฐ อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง และอดีตอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็น 2 ชื่อว่าที่ กกต.ใหม่ ซึ่งขั้นตอนระหว่างนี้ คณะกรรมการสรรหาจะส่งรายชื่อทั้ง 2 คน และมติของที่ประชุมไปให้ประธานวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภาลงมติตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติต่อไป
จับกระแสการเมือง พบเสียงกล่าวขานดังอื้ออึง หลังมีชื่อ จิรุตม์-อดีตบิ๊กคมนาคม และมณฑล อดีตบิ๊กมหาดไทย ได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปเป็น กกต. โดยผู้คนในสังคมการเมืองส่งเสียงออกมาท่วงทำนองเดียวกันว่า 2 ชื่อนี้ สว.สีน้ำเงิน ที่คุมเสียงข้างมากในสภาสูง น่าจะไฟเขียว โหวต "เห็นชอบ" ให้ผ่านเข้าไปร่วมเป็น 7 เสือ กกต.
ด้วยเหตุว่า จิรุตม์-อดีตบิ๊กกระทรวงคมนาคม ที่แม้จะจบรัฐศาสตร์ จุฬาฯ แต่ก็ไปเติบโตในชีวิตราชการที่กระทรวงคมนาคม หลังจบการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา โดยก่อนเกษียณได้ผ่านตำแหน่งสำคัญมากมายในกระทรวงคมนาคม เช่น รองปลัดกระทรวงคมนาคม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมเจ้าท่า อธิบดีกรมขนส่งทางบก อดีตบอร์ดการท่าเรือแห่งประเทศไทย อดีตบอร์ดบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด โดยเป็นที่รู้กันดีว่า สมัย ศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย น้องชายเนวิน ชิดชอบ เป็นรมว.คมนาคม ยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่นั่งเป็น รมว.คมนาคม เกือบ 4 ปี ก็เป็นคนผลักดันให้จิรุตม์ขยับออกจากรองปลัดกระทรวงคมนาคม ไปเป็นอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ที่เป็นกรมใหญ่ของ ก.คมนาคม อีกทั้งยังผลักดันให้ไปรับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการบริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ด รฟท. ในยุคศักดิ์สยามเป็น รมว.คมนาคม และกล่าวขานกันว่า จิรุตม์ชื่อนี้ เป็นบิ๊กคมนาคม คือมือทำงานซึ่งศักดิ์สยาม แกนนำภูมิใจไทย ไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่งสมัยนั่งอยู่คมนาคม เช่น ตอนจิรุตม์เป็นประธานบอร์ด รฟท.ก็ได้รับมอบหมายให้เข้าไปเร่งรัดติดตามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หรือการติดตามความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ตลอดจนการเข้าไปวางแผนฟื้นฟูและแก้ปัญหาหนี้สินของการรถไฟฯ เป็นต้น อันแสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันดีระหว่างแกนนำพรรคสีน้ำเงินกับอดีตบิ๊กคมนาคมที่กำลังลุ้นเข้าไปเป็น กกต.
ส่วน มณฑล สุดประเสริฐ อดีตอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ก็ถือเป็นอดีตบิ๊กข้าราชการคนดังที่มากด้วยคอนเน็กชันทางการเมืองและธุรกิจ โดยอยู่ในตำแหน่งยาวร่วม 7 ปี หลัง ครม.มีการต่ออายุให้ คือตั้งแต่ปี 2555-2563 โดยไม่เคยถูกเด้งหรือถูกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทยหรืออธิบดีกรมอื่นในกระทรวงมหาดไทย ทั้งในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อเนื่องถึงยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกทั้งในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พรรคภูมิใจไทยดูแลกระทรวงมหาดไทย โดยมี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หรือปู่จิ้น พ่อของนายอนุทินเป็น มท.1 และมีศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องเนวิน ชิดชอบ เป็นประธานคณะที่ปรึกษา ตัวนายมณฑลก็ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นมาเป็นรองอธิบดีกรมโยธาธิการฯ ก่อนจะขึ้นเป็นอธิบดีกรมโยธาฯ ยาวหลายปีติดต่อกัน จึงทำให้รู้จักกับคนในหลายแวดวง และสุดท้ายไปเกษียณในตำแหน่งอธิบดีกรมป้องกันฯ และก่อนหน้านี้ทำงานอยู่บริษัทเอกชน เช่น เป็นประธานกรรมการบริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
สำหรับมณฑลเคยไปสมัครเป็น กกต.มาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ไม่ผ่านการคัดเลือก เพราะคนที่เข้ารอบคืออนันต์ อดีตปลัด ก.เกษตร และณรงค์ อดีต ผวจ.อุทัยธานี แต่ต่อมาเมื่อมีการรับสมัคร กกต.อีกรอบ มณฑลก็มาสมัครและผ่านเข้ารอบตามความคาดหมาย
หากไม่มีอะไรพลิกโผ คาดหมายการเมืองกันไว้ว่า สว.สีน้ำเงินน่าจะโหวตผ่านให้ "จิรุตม์-มณฑล" เข้าไปเป็น 7 เสือ กกต.คุมการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น และทำให้ การเมืองขั้วสีน้ำเงินคุมเสียงข้างมากใน 7 เสือ กกต.!.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)
วิกฤตหาดใหญ่“รัฐล้มเหลว” สะเทือนคะแนน“นายกฯหนู”
มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในจังหวัดสงขลา ส่งผลให้เมืองเศรษฐกิจอย่าง “หาดใหญ่” จมบาดาล ก่อนที่รัฐบาล “นายกฯ หนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย จะตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา และแต่งตั้งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2569


